ดอกเบี้ยมหาโหดในธุรกิจค้าหนี้ 

                            
ในปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์อยู่ในอัตราต่ำมากเฉลี่ยเพียงร้อยละ 2.25 ถึง 3.00 ต่อปี แต่ปรากฏว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกประกาศให้ธนาคารพาณิชย์ คิดดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคลได้ไม่เกินอัตราร้อยละ 28 ต่อปี
 และให้บริษัทที่ประกอบธุรกิจให้สินเชื่อ(Non Bank) คิดดอกเบี้ยส่วนบุคคลได้ไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี และคิดค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ได้อีกร้อยละ 13 ต่อปี รวมกันแล้วไม่เกินร้อยละ 28 ต่อปี

การยอมให้ธนาคาร และบริษัทที่ประกอบธุรกิจให้สินเชื่อ คิดดอกเบี้ยรวมค่าธรรมเนียมได้ร้อยละ 28 ต่อปี ในขณะที่ต้นทุนเงินฝากของธนาคารพาณิชย์สูงสุดไม่เกินร้อยละ 3 ต่อปีนั้น เมื่อหักต้นทุนเงินฝากแล้ว เท่ากับกำไรขั้นต้นสูงถึงร้อยละ 25 ต่อปี( 28 – 3 ) คำนวณแล้วเท่ากับกำไรขั้นต้นสูงถึง 833.33% ( 25 หาร 3 คูณ 100)

ถ้าหากหักค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอีกร้อยละ 3 ต่อปี (100% ของต้นทุนเงินฝาก) กำไรสุทธิจะเหลือเท่ากับร้อยละ 22 ต่อปี คำนวณแล้วเท่ากับกำไรสุทธิสูงถึง 733.33% (22 หาร 3 คูณ 100)
ในขณะที่ อัตราเฉลี่ยดอกเบี้ย MOR ร้อยละ 7.74 ต่อปี อัตรา MLR ร้อยละ 7.40 ต่อปี และอัตรา MRR ร้อยละ 7.59 ต่อปี

อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคลอัตราร้อยละ 28 ต่อปี ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย MRR เท่ากับร้อยละ 7.59 ต่อปี จึงสูงกว่าอัตราดอกเบี้ย MRR ร้อยละ 20.41 ต่อปี คำนวณแล้วเท่ากับสูงกว่าถึง 268.91% (20.41 หาร 7.59 คูณ 100)

การเก็บอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบุคคลที่รวมกันแล้วไม่เกินร้อยละ 28 ต่อปีทั้งของธนาคารพาณิชย์และบริษัทที่ประกอบธุรกิจให้สินเชื่อ(Non Bank) จึงเป็นการเอาเปรียบประชาชนผู้บริโภคเป็นอันมาก ทำให้ต้องรับภาระดอกเบี้ยในอัตราที่สูงเกินกว่าความสามารถในการจ่ายคืนได้ เพื่อรักษาเครดิต ประกอบกับการตามทวงหนี้ที่ใช้วิธีประจานลูกหนี้ไปทั่วทั้งในที่ทำงาน และที่บ้านและคนรู้จัก ตลอดจนคุกคาม ข่มขู่ จะเข้ามาพบที่ทำงาน จะมาพบกับฝ่ายบุคคลหรือผู้จัดการเพื่อให้หักบัญชี หรือให้ไล่ออก อันเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลและคุกคามต่อความมั่นคงในการทำงาน บางรายลูกหนี้ต้องออกจากงานไป เป็นการกระทำอันไม่ชอบด้วยกฎหมายทั้งสิ้น เป็นผลกระทบไปยังครอบครัว บุตรที่ยังเล็ก พ่อแม่ที่แก่ชรา และจะเป็นผลกระทบที่รุนแรงในอนาคต

ในปัจจุบัน สินเชื่อบุคคลมีประมาณ 7 ล้านบัญชี ธนาคารแห่งประเทศไทยมองแต่ทางด้านผู้ให้กู้ Bank และ Non Bank เพียงด้านเดียว ว่าหนี้เสีย 7% ยังไม่เป็นไร(จึงไม่มาตรการใด ๆ ออกมาช่วยเหลือ) แต่ไม่มองทางด้านผู้กู้ ซึ่งมีจำนวนมากถึงประมาณ 5 แสนบัญชี เป็นจำนวนไม่น้อย
นอกจากนี้ บัตรเครดิตกว่า 11 ล้านบัตร ก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน การที่ธนาคารแห่งประเทศไทยให้คิด

ดอกเบี้ยร้อยละ 20 ต่อปี และคิดค่าธรรมเนียมเบิกเงินสดล่วงหน้าอีกครั้งละ 3% ของจำนวนเงินที่เบิก หากมีการเบิกเดือนละ 1 ครั้ง ทั้งปีก็เท่ากับ 36% รวมเป็น 56% ประกอบกับกฎเกณฑ์ที่บังคับให้จ่ายขั้นต่ำ 10% ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ใช้บริการบัตรเครดิตเป็นอย่างมากในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองในปัจจุบัน

ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกลับให้ข่าวว่า ลูกหนี้จ่ายได้ประมาณ 80% จ่ายไม่ได้ประมาณ 20% ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่เคยมองทางด้านประชาชนผู้บริโภคบ้างเลย ว่า ลูกหนี้ที่จ่ายไม่ได้ 20% เมื่อคิดเป็นจำนวนบัตรแล้ว เท่ากับ 2.2 ล้านบัตร ก็เป็นจำนวนมาก

ขณะนี้มีหนี้สินเชื่อบุคคลและหนี้บัตรเครดิตเท่ากับ 2.7 ล้านบัญชี และกำลังจะเพิ่มขึ้นอีกมาก กำลังเป็นปัญหาสังคมตามมามากมาย รัฐบาล กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย ควรจะหาทางแก้ปัญหาโดยพิจารณาในมุมมองปัญหาสังคม และปัญหาทรัพยากรมนุษย์ของชาติโดยเร่งด่วน ก่อนที่ปัญหาหนี้สินเชื่อบุคคลและหนี้บัตรเครดิตจะลุกลามไปมากกว่านี้ และทำลายสังคมทำลายชีวิตและครอบครัวของลูกหนี้จนไม่มีเหลือ

  - 20 คำถามยอดฮิต การทวงหนี้ บัตรเครดิต – บัตรเงินผ่อน (pdf)/(doc) 

                   - วิธีรับมือเมื่อถูกตามทวงหนี้โหด 

                   - หมัดเด็ดลูกหนี้สวนกลับเจ้าหนี้ (pdf) /(doc)  

บทความโดย : ไพโรจน์ โภคสุพัฒน์  ที่ปรึกษาชมรมหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล 6 สิงหาคม 2550