![](https://www.pattanakit.net/images/column_1253037837/Pat%205555.jpg)
ภาษีอากรประเมิน
ท่านผู้อ่านฝากคำถามไปยัง มุมภาษี อ่านแล้วน่าคิดมาก ๆ จึงนำมาเล่าสู่กันฟังดังนี้ครับ คำว่า “ประเมิน” ทำไมต้องนำไปต่อท้ายคำว่า “ภาษีอากร” เป็น “ภาษีอากรประเมิน” ต่อท้าย “เงินได้” เป็น “เงินได้พึงประเมิน” และต่อท้ายคำว่า “เจ้าพนักงาน” เป็น “เจ้าพนักงานประเมิน” จึงตั้งกระทู้ว่า คำว่า “ประเมิน” หมายความว่าอย่างไร เมื่อนำไปต่อท้ายแต่ละคำดังกล่าวจะให้ความหมายอย่างไร เพราะเท่าที่ผ่านมา ในการเรียนภาษีอากร หาตำราเกี่ยวกับภาษีอากรประเมินน้อยมาก เท่าที่จับใจความได้ ก็คือ
“ภาษีอากรประเมิน” คือ ภาษีอากร ประเภทที่ผู้ต้องเสียหรือนำส่งภาษีมีหน้าที่ยื่นรายการประเมินตนเองตามแบบแสดงรายการที่กฎหมายกำหนดและภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด เพื่อแสดงว่า มีรายได้หรือรายรับที่ต้องนำมาคำนวณภาษีอากรตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขและอัตราที่กฎหมายกำหนด พร้อมทั้งชำระหรือนำส่งภาษีอากรไปพร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการ และให้เจ้าพนักงานประเมินเป็นผู้ประเมินความถูกต้องของจำนวนเงินภาษีและการปฏิบัติหน้าที่ทางภาษีอากรของผู้ต้องเสียหรือนำส่งภาษีอากรนั้น ๆ ว่าเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ เพียงใด ถ้าพบข้อผิดพลาด ก็ให้มีอำนาจดำเนินการให้ถูกต้องตามหลักความเป็นธรรมแก่สังคมต่อไป
คำว่า “ประเมิน” ในที่นี้ จึงน่าจะหมายถึง ความถูกต้อง ความครบถ้วน หรือมาตรฐานที่ต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ บริบูรณ์ ดังนั้น “เงินได้พึงประเมิน” จึงหมายถึงเงินได้อันเข้าลักษณะพึงเสียภาษีอากรได้แก่ เงินได้จากหน้าที่งานที่ทำ เงินได้เนื่องจากกิจการที่ทำ และเงินได้เนื่องจากทรัพย์สิน ทั้งจากแหล่งเงินได้ในประเทศและแหล่งเงินได้ในต่างประเทศ ที่ผู้มีเงินได้ได้รับในระหว่างปีภาษี ไม่ว่าผู้มีเงินได้นั้นจะเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยหรือไม่ก็ตาม และเป็นเงินได้ที่ผู้มีเงินได้ต้องนำมายื่นแบบแสดงรายการ และคำนวณภาษีอากรให้ถูกต้อง ครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราที่กฎหมายกำหนด
สำหรับคำว่า “เจ้าพนักงานประเมิน” จึงหมายถึง เจ้าพนักงานที่มีคุณสมบัติ และมีความรู้ความสามารถตามที่กำหนด ซึ่งตามกฎหมายกำหนดให้มีอำนาจหน้าที่ในอันที่จะทำการประเมินความถูกต้อง ครบถ้วนของจำนวนเงินภาษีอากร และการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ต้องเสียหรือนำส่งภาษีอากรว่า เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราที่กฎหมายกำหนดหรือไม่
ซึ่งหากมองมุมที่กว้างขึ้น เจ้าพนักงานประเมิน จะมีอำนาจก็ต่อเมื่อ ผู้ต้องเสียภาษีอากรประเมินยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีอากรไว้ไม่ถูกต้อง และหรือไม่ปฏิบัติหน้าที่ทางภาษีอากรให้ถูกต้องครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น หากผู้ต้องเสียภาษีอากรได้ปฏิบัติ การทางภาษีอากรโดยถูกต้อง ครบถ้วนแล้ว เจ้าพนักงานประเมินย่อมไม่มีอำนาจการประเมิน ใด ๆ นอกจากการให้บริการที่ดีแก่ผู้ต้องเสียหรือนำส่งภาษีอากรด้วยความนอบน้อม อย่างมีสำนึกในบุญคุณเท่านั้น
วิธีการเก็บภาษีอากรประเมินตามประ มวลรัษฎากร ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีธุรกิจเฉพาะนั้น ท่านกำหนดให้ผู้ต้องเสียภาษีหรือผู้นำส่งภาษีมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการตามที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด และภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด โดยแสดงรายได้หรือรายรับ พร้อมคำนวณจำนวนเงินภาษีที่ต้องเสียหรือนำส่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตรา อีกทั้งต้องปฏิบัติหน้าที่อื่น ที่กฎหมายกำหนด ซึ่งรวมเรียกวิธีการเช่นนี้ว่า “การประเมินตนเอง”
และเพื่อเกิดความเสมอภาค เป็นธรรมในการเสียภาษีอากรของผู้ต้องเสียภาษีอากร ที่เกรงว่า บางรายอาจปฏิบัติไม่ถูกต้อง จึงบัญญัติให้ “เจ้าพนักงานประเมิน” เป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของการยื่นรายการและการเสียภาษีอากร รวมทั้งการปฏิบัติหน้าที่อื่นของผู้ต้องเสียหรือนำส่งภาษีอากร ในกรณีที่พบว่าผู้ต้องเสียหรือนำส่งภาษีอากรได้เสียหรือนำส่งภาษีอากร หรือปฏิบัติหน้าที่ทางภาษีอากรไม่ถูกต้องครบถ้วน เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจที่จะประเมินภาษีอากร พร้อมทั้งเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม แล้วแจ้งการประเมินไปผู้ต้องเสียหรือนำส่งภาษีอากร และมีอำนาจดำเนินคดีอาญาต่อการฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายที่กำหนดให้ต้องรับโทษจำคุก และหรือโทษปรับ เห็นได้ว่า ภาษีอากรในส่วนที่เป็น “ภาษีอากรประเมิน” ที่กรมสรรพากร จัดเก็บส่วนใหญ่ เป็นผลจากการชำระภาษีอากรโดยยื่นแบบแสดงรายการประเมินตนเองของผู้ต้องเสียหรือนำส่งภาษี ส่วนที่เจ้าพนักงานทำการประเมินเรียกเก็บเพิ่มเติมนั้นมีไม่ถึง 5%
การยื่นแบบแสดงรายการประเมินตนเองและชำระภาษีอากร จึงเป็นวิธีการที่สำคัญอย่างยิ่งในการบริหารการจัดเก็บภาษีอากรประเมิน เพราะหากผู้ต้องเสียหรือนำส่งภาษีอากรได้ยื่นแบบแสดงรายการ รายได้หรือรายรับ และปฏิบัติหน้าที่ทางภาษีอากรโดยถูกต้องครบถ้วน ตามที่กฎหมายกำหนด นอกจากจะไม่ต้องรับผิดใด ๆ ทางภาษีอากรแล้ว ยังไม่ต้องเสียเวลากับการรับมือต่อการตรวจสอบของเจ้าพนักงานประเมิน ไม่ว่ากรณีใด ๆ อีกเลย จึงไม่ต้องรับโทษทัณฑ์ใด ๆ ทำให้มีเวลาบริหารจัดการธุรกิจให้ก้าวหน้าไปอย่างมั่นคง เข้มแข็ง และยั่งยืนสืบไป
นายวินัย วิทวัสการเวช อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า ก่อนการยื่นแบบแสดงรายการ เป็นสิทธิของผู้ต้องเสียหรือนำส่งภาษีอากรในการที่จะกรอกรายการต่าง ๆ ลงไป ซึ่งหากได้กระทำอย่างถูกต้องสมบูรณ์และครบถ้วน ก็จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งท่านผู้ต้องเสียภาษีหรือนำส่งภาษีอากร และต่อประชาชนโดยส่วนรวมอีกด้วย และทำให้เจ้าพนักงานประเมินสามารถดำเนินการกับรายที่ไม่สุจริต เพื่ออำนวยให้เกิดความเป็นธรรมแก่สังคม สมดังเจตนารมณ์ของการบัญญัติประมวลรัษฎากรสืบไป.
![](https://www.pattanakit.net/images/column_1253037837/1164507148.gif)
บทความโดย : สุเทพ พงษ์พิทักษ์
ที่มา : คอลัมภ์มุมภาษี นสพ.เดลินิวส์ ฉบับวันจันทร์ ที่ 7 และ 14 กันยายน 2552