ภ.ง.ด.51 (ภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี)

   เพิ่งสิ้นสุดการยื่นแบบเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2551 (ภ.ง.ด. 50) ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเมื่อเดือน พ.ค. 2552 ที่ผ่านมา ขณะนี้ก็ถึงกำหนดเวลายื่นแบบเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับครึ่งรอบระยะเวลาบัญชีแรก (ภ.ง.ด. 51) ของรอบระยะเวลาบัญชีปี 2552 แล้ว

ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด กิจการร่วมค้า หรือนิติบุคคลอื่นใดที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากฐานกำไรสุทธิ กฎหมายกำหนดให้ยื่นแบบเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลปีละ 2 ครั้ง ครั้งแรก เมื่อครบ 6 เดือนแรกของรอบระยะเวลาบัญชีจะต้องยื่นเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลด้วยแบบ ภ.ง.ด. 51 และครั้งที่ 2 เมื่อครบรอบ ระยะเวลาบัญชีแล้ว จะต้องยื่นเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลด้วยแบบ ภ.ง.ด. 50 อีกครั้ง

ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัท ฯลฯ ที่มีรอบระเวลาบัญชีตามปีปฏิทิน หรือปีพุทธศักราช ซึ่งโดยทั่วไปมีรอบระยะเวลาบัญชีเริ่มต้นตั้งแต่ วันที่ 1 ม.ค. และวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีตรงกับวันที่ 31 ธ.ค. จะต้องยื่นแบบเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับครึ่งรอบ ระยะเวลาบัญชีแรก ภายใน 2 เดือน นับแต่ครบรอบระยะเวลาบัญชี 6 เดือนแรก หรือพูดง่ายๆ ว่าเมื่อสิ้นเดือน มิ.ย. ให้ยื่นเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปีด้วยแบบ ภ.ง.ด. 51 ยื่นได้ตั้งแต่เดือน ก.ค.-ส.ค.ของปีนั้น ในปีนี้วันสุดท้ายของการยื่นแบบ ภ.ง.ด. 51 จะตรงกับวันจันทร์ที่ 31 ส.ค. 2552 ห้างหุ้นส่วนจำกัดหรือบริษัทฯลฯ อื่นใด ที่มีวันสุดท้าย ของรอบระยะเวลาบัญชีที่มิใช่วันที่ 31 ธ.ค. 2552 คงต้องนั่งบวกลบวันและเดือนเอาเองแล้วละ ยังไงก็อย่านับผิดพลาดก็แล้วกัน เดี๋ยวได้เสียเงินโดยที่ไม่น่าจะเสีย

การยื่นเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลด้วยแบบ ภ.ง.ด. 51 หากเป็นบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน บริษัทหลักทรัพย์ หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ จะต้องเสียภาษีเงินได้ นิติบุคคลจากกำไรสุทธิที่เกิดขึ้นจริง แต่ถ้าเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัดหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลอื่น จะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งรอบระยะเวลาบัญชีแรก โดยใช้วิธีการประมาณการกำไรสุทธิ ไม่ใช่กำไรสุทธิที่เกิดขึ้นจริง การประมาณการกำไรสุทธิเพื่อนำมาคำนวณภาษีในแบบ ภ.ง.ด. 51 บริษัท ฯลฯ ต้องคาดการณ์กำไรสุทธิ ที่จะเกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2552 ว่าน่าจะมีกำไรสุทธิเกิดขึ้นเป็นจำนวนเท่าใดแล้ว จึงนำประมาณการกำไรสุทธิครึ่งหนึ่งมาคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลในแบบ ภ.ง.ด. 51 ไม่ใช่คำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลจากตัวเลขประมาณการกำไรสุทธิทั้งรอบระยะเวลาบัญชี ปีก่อน ซึ่งอาจจะทำให้เสียภาษีมากกว่าที่ควรจะเสียก็ได้

วีดีโอ ตอนครบเครื่องเรื่อง ภ.ง.ด. 51

เพราะห้างหุ้นส่วนจำกัดหรือบริษัทจำกัดที่มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 5 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1.5 แสนบาทแรก ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล กำไรสุทธิที่เกิน 1.5 แสนบาท แต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท เสียภาษีในอัตรา 15% และกำไรสุทธิเกิน 1 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 3 ล้านบาท เสียภาษีในอัตรา 25% กำไรสุทธิที่เกินกว่า 3 ล้านบาท เสียภาษีอัตรา 30%

ห้างหุ้นส่วนจำกัดหรือบริษัท ฯลฯ ที่ยื่นเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ครึ่งรอบระยะเวลาบัญชีแรกไปแล้ว หากพบว่าได้ประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินกว่า 25% ของกำไรสุทธิทั้งรอบระยะเวลาบัญชีที่ เกิดขึ้นจริง ต้องเสียเงินเพิ่ม 20% ของภาษีที่คำนวณจากประมาณการกำไรสุทธิที่ได้ประมาณการขาดไป

การยื่นเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลด้วยแบบ ภ.ง.ด. 51 อยากเชิญชวนให้ยื่นแบบผ่านเว็บไซต์ www.rd.go.th ของกรมสรรพากร ซึ่งสะดวก รวดเร็ว ยื่นได้ตลอดเวลา ไม่มีวันหยุด กรณีที่มีภาษีต้องชำระก็ สามารถยื่นแบบผ่านเว็บไซต์ไว้ก่อนก็ได้ แต่จะต้องชำระภาษีภายในวันที่ 31 ส.ค. 2552 นอกจากนั้นยังสามารถยื่นแบบได้ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาในท้องที่ที่สำนักงานใหญ่ของบริษัท ฯลฯ ตั้งอยู่

บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จะยื่นเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ครึ่งรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามแบบ ภ.ง.ด. 51 สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2552 นี้ คงต้องตรวจสอบดูการใช้สิทธิประโยชน์ของตนเอง กรณีได้รับยกเว้นภาษีหรือเสียภาษีอัตราต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิ ว่าบริษัท ฯลฯ เข้าข่ายตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้หรือไม่ หากผิดพลาดไปแล้ว มาตามแก้ไขปัญหาทีหลังคงไม่โสภาเท่าใดนัก ถ้าไม่เสียภาษีหรือเงินเพิ่มเพิ่มเติมก็ถือว่าโชคดีไป แต่ที่แน่ๆ คงต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายอื่นๆ อยู่ดี ไม่ผิดพลาดเป็นดีที่สุด มีปัญหาสงสัยประการใดสามารถสอบถามได้ที่หน่วยงานสรรพากรทุกแห่งครับ

   ประมาณการกำไรสุทธิขาดเกิน 25% (ภ.ง.ด.51)

    ปัญหาภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี (ภ.ง.ด.51)

 ภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี

 Download แบบ ภ.ง.ด.51 ปี 2551 (pdf)

 คำอธิบายการกรอกแบบ ภ.ง.ด.51 ปี 2551(pdf)  

 บทความโดย :สมชาย ชูเกตุ   ที่มา : โพสต์ทูเดย์  วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2552