SMEs จะต้องเผชิญอะไรในปี 2552 บ้าง

   เริ่มต้นศักราชใหม่ในปี พ.ศ. 2552 นี้ ผู้ประกอบการ SMEs หลายคนอาจมีความกังวลในทิศทางของเศรษฐกิจประเทศไทย และยังต้องเตรียมพร้อมกับภาวะที่เรียกได้ว่าเป็น “วิกฤต” จากผลกระทบของความล้มเหลวในการบริการจัดการภาคการเงินในสหรัฐฯ ซึ่งสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงและลุกลามขยายวงไปทั่วโลก ทำให้ธุรกิจโดยเฉพาะภาคการส่งออกซึ่งเป็นหัวใจหลักของประเทศ ได้รับผลกระทบโดยตรงคือ ยอดคำสั่งซื้อสินค้าลดลง ทำให้โรงงานในภาคการผลิตเพื่อการส่งออกหลายทั้งหลายขาดรายได้ จนต้องเลิกจ้างคนงาน หรือเลวร้ายถึงขั้นปิดสถานประกอบการในที่สุด

นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่า อัตราการว่างงานจะสูงขึ้นอีกเป็นหลักล้านคน คิดเป็นร้อยละ 2.8 ของแรงงานทั้งหมด ถึงแม้ว่าจะยังไม่รุนแรงเมื่อเทียบกับปัญหาการว่างงานในวิกฤตต้มยำกุ้ง ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2542 ซึ่งมีคนว่างงานถึง 1.7 ล้านคน แต่ก็ถือว่าเป็นปัญหาที่น่าห่วง และจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ปัญหาและกำหนดมาตรการรองรับผู้ว่างงาน

ภาครัฐบาลยังคงต้องรับภาระหนักในช่วงที่ภาคธุรกิจกำลังมีปัญหา และออกมาตรการเพื่อช่วยบรรเทาภาระทางธุรกิจ เช่น มาตรการผ่อนผันการชำระภาษี ผ่อนผันภาษีนิติบุคคล โดยอนุญาตให้ผู้ประกอบการจ่ายชำระภาษีนิติบุคคลในอัตราร้อยละ 25 ของกำไรประจำปี และสามารถขอผ่อนผันการชำระภาษีส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 5 ในปีต่อไปได้ โดยที่ผู้ขอผ่อนผันการชำระภาษีจะต้องจ่ายดอกเบี้ยใน (อัตราต่ำ) แก่รัฐบาลด้วย มาตรการนี้จะมีส่วนช่วยผู้ประกอบการ SMEs ให้ชะลอการปลดคนงานออกไปได้ เพราะมีภาระทางษีที่ต้องจ่ายแก่รัฐลดลง

อย่างไรก็ดี SMEs ยังต้องเผชิญกับปัญหาสภาพคล่อง เนื่องจากสถาบันการเงินระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อสำหรับ SMEs ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ ดังนั้น สิ่งที่ภาครัฐพึงต้องทำคือ การสนับสนุนสินเชื่อแก่ SMEs และการค้ำประกันสินเชื่อสำหรับ SMEs ด้วยการจัดสรรงบประมาณแก่ธนาคารของรัฐเพื่อขยายวงเงินกู้ รวมถึงการปล่อยกู้ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ เป็นต้น

ทางฟากอุตสาหกรรมด้านท่องเที่ยว ปีนี้ อาจจะต้องเริ่มต้นด้วยความยากลำบากในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของชาวต่างชาติให้กลับมาเที่ยวเมืองไทย แต่จะละเลยอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไม่ได้ เนื่องจากการท่องเที่ยวเป็นภาคเศรษฐกิจที่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างงานได้อย่างรวดเร็ว ปัญหาจำนวนนักท่องเที่ยวที่หดตัวลง เกิดจากการขาดความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว ภาครัฐจึงควรเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งนอกเหนือจากการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว การจัดเทศกาลส่งเสริมการท่องเที่ยว และการจัดแพ็คเกจกระตุ้นการท่องเที่ยวแล้ว ภาครัฐจะต้องให้การรับประกันแก่นักท่องเที่ยว ซึ่งอาจจะได้รับความเสียหายจากกรณีความขัดแย้งทางการเมือง เพื่อให้นักท่องเที่ยวเกิดความมั่นใจว่าจะมีผู้รับผิดชอบทันทีหากเกิดความเสียหายขึ้น ทั้งนี้ มีคำแนะนำจาก อดีตรองนายกรัฐมนตรี ดร.โอฬาร ไชยประวัติว่าน่าจะมีการรณรงค์ “Grand Apologize from Thailand” เป็นการจัดแพ็คเกจการท่องเที่ยวที่คุ้มค่าเพื่อชักชวนให้นักท่องเที่ยวกลับมาเที่ยวเมืองไทย

สำหรับ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ก็มีการเตรียมการณ์ไว้สำหรับรองรับภาวะวิกฤตหลายๆ อย่าง เช่น วิกฤตการเลิกจ้างพนักงาน โดยการเตรียมแผนเพื่อช่วยเหลือลุกจ้างที่ถูกเลิกจ้าง โดยจะให้สิทธิ์พนักงานที่ถูกเลิกจ้างดังกล่าวได้เปลี่ยนมาเป็นเจ้าของกิจการเล็กๆ ของตัวเอง เช่น ธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม หรือแฟรนไชส์ต่างๆ ทั้งนี้ รูปแบบโครงการเป็นลักษณะการร่วมทุน โดย สสว. ออกทุนให้ส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งผู้เข้าร่วมโครงการต้องออกเอง โดยจะช่วยเหลือในลักษณะของอุปกรณ์ เครื่องมือประกอบอาชีพ หรือสิทธ์แฟรนไชส์ รวมถึงการให้ความรู้ผ่านการอบรมในธุรกิจนั้นๆ เพื่อให้มความพร้อมที่สุดก่อนออกตลาดจริง ด้านการดำเนินโครงการจะประสานทั้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำหรับรายละเอียดที่สมบูรณ์ของโครงการนั้น ขณะนี้ สสว .กำลังอยู่ระหว่างการจัดทำแผน เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการบริหาร สสว. คาดว่าจะเริ่มโครงการได้จริงในช่วงต้นปีนี้แน่นอน

ในศุภวาระดิถีขึ้นปีใหม่ ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จงดลบันดาลให้ท่านผู้อ่านและครอบครัว มีความเจริญพร้อมด้วยสติปัญญา สู้ภาวะวิกฤตที่จะต้องใช้ทั้งพลังกาย พลังใจ พลังสมอง ฝ่าฟันอุปสรรค ขอให้ท่านประสบความสำเร็จในสิ่งอันพึงปรารถนาทุกประการ

 
 
ที่มา : สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม [6-1-2552]