บริษัท พัฒนกิจ บัญชี ภาษีและฝึกอบรม จำกัด
Pattanakit Accounting Tax & Training Co., Ltd.
59/275 ซอยสุวินทวงศ์ 44 ถนนสุวินทวงศ์ แขวงลำผักชี เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร 10530
โทรศัพท์ 094-6574441 , 099-4567715 , 092-4634120, 061-0382531
Website :https://www.pattanakit.net / Email : infoservice2126@gmail.com

ปัญหาคนรวย-ปัญหาคนจน
ปัญหาคนรวย-ปัญหาคนจน
บางคนพูดว่าปัญหาเศรษฐกิจรอบนี้รุนแรงกว่าปัญหาเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 ซึ่งหากมองจากภาพเศรษฐกิจโดยรวมแล้ว ก็จะต้องยืนยันว่า ปัญหาในปี 2552 นี้ จะหนักหน่วงน้อยกว่าวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 เพราะในปีนั้นเศรษฐกิจไทยติดลบ 3% และในปีต่อมาติดลบอีก 10% แต่ใน ปี 2552 นี้หากสถานการณ์ย่ำแย่เกินคาดเศรษฐกิจก็อาจติดลบ 2-3% ได้ แต่ไม่ใกล้เคียงกับการหดตัวทางเศรษฐกิจในปี 2540-2541 แต่ในบางมิตินั้นปัญหาเศรษฐกิจในปี 2552 จะกระทบคนจนรุนแรงกว่าคนรวย เมื่อเทียบกับปี 2540 และปัญหาสำหรับคนจน (คือ คนที่มีรายได้น้อยและเป็นมนุษย์เงินเดือน) จะแก้ไขได้ยากกว่าปี 2540-2541 ผมจะพยายามอธิบายเพื่อให้เกิดความเข้าใจ ซึ่งอาจจะช่วยในการพยายามปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้ดีขึ้น ในปี 2540 นั้น รากเหง้าของปัญหา คือ การที่คนรวยของประเทศไทยคิดการใหญ่ขยายธุรกิจอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมหนัก (เหล็ก ปิโตรเคมี) ทั้งภาคธุรกิจและภาคการเงินเร่งกู้เงินจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก กล่าวได้ว่าเป็นการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่อาศัยสินเชื่อระยะสั้นจากต่างประเทศเป็นตัวขับเคลื่อน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีความมั่นใจ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความโลภ และส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีการค้ำประกันอัตราแลกเปลี่ยนโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ดังนั้น วิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 จึงเป็นวิกฤติของการมีหนี้สินล้นพ้นตัว ของคนรวยหรือเจ้าของกิจการ กลไกในการลดหนี้ที่ควบคุมโดยไอเอ็มเอฟนั้น อาศัยการทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศชะลอตัวลงอย่างรุนแรง ทั้งโดยการปรับขึ้นดอกเบี้ยและภาษีมูลค่าเพิ่ม ทำให้ความต้องการสินค้าและบริการลดลงอย่างมากรวมทั้งการนำเข้า แต่การปรับตัวที่รุนแรงที่สุด คือ การปิดสถาบันการเงิน และการล้มของธุรกิจที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวเป็นร้อยๆ แห่ง ส่วนสถาบันการเงินและธุรกิจที่ยังอยู่รอดนั้น ก็ต้องพยุงตัวโดยต้องหาทุนเพิ่มเติมทั้งที่เป็นเงินทุนใหม่ของคนไทยและคนต่างชาติ ตัวอย่างเช่น การเพิ่มทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ของไทยในช่วง 2540-2543 นั้น คิดเป็นมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาท ที่สำคัญ คือ ผลกระทบที่รุนแรงที่สุดตกกับผู้ที่เป็นเจ้าของธุรกิจที่ต้องสูญเสียความเป็นเจ้าของกิจการทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด เจ้าหนี้ของประเทศไทยทั้งคนไทยและคนต่างชาติก็ได้รับผลกระทบเช่นกันแต่ไม่มากนัก เพราะมิได้มีการเบี้ยวหนี้ทั้งระบบ กล่าวโดยรวมแล้วเจ้าหนี้รายย่อย (ผู้ฝากเงิน) จะถูกกักเงินฝากเอาไว้ประมาณ 5 ปี แต่ก็จะได้คืนเงินต้นทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยและมีการควบคุมเงินเฟ้อมิให้เพิ่มขึ้นมากนัก ซึ่งก็เป็นประโยชน์กับคนจนที่มีรายได้ตายตัวเช่นกัน นอกจากนั้น กระบวนการคืนหนี้ต่างประเทศของไทย ทำให้มีความจำเป็นที่จะต้องปรับลดค่าเงินบาทลงจาก 25 บาทเป็น 40 บาทอยู่นานหลายปี กล่าวคือ ลดค่าเงินบาทเพื่อให้ประเทศไทยหาเงินดอลลาร์มาคืนเจ้าหนี้ต่างประเทศ (รวมทั้งไอเอ็มเอฟ) ได้อย่างครบถ้วน โดยการลดค่าเงินบาทนี้ทำให้เกิดการขยายตัวของภาคการส่งออกสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง กล่าวคือ การส่งออกซึ่งมีมูลค่า 1.8 ล้านล้านบาท ในปี 2539 ปรับเพิ่มขึ้นมาเป็น 2.7 ล้านล้านบาท ในปี 2541 หรือการส่งออกของไทยเพิ่มขึ้นปีละกว่า 4 แสนล้านบาทในช่วง 2 ปีที่ประเทศไทยประสบวิกฤติเศรษฐกิจในครั้งนั้น จะเห็นได้ว่าสัดส่วนของการส่งออกต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นจาก 39% ในปี 2539 เป็น 59% ในปี 2541 เสมือนว่าการส่งออกเป็นยากระตุ้นเศรษฐกิจขนานแรง ที่ทำให้ไทยสามารถฟื้นตัวจากวิกฤติการเงินในช่วงนั้นได้อย่างรวดเร็วเกินคาด ประเด็นที่สำคัญ คือ การลดค่าเงินบาทในครั้งนั้นเป็นประโยชน์กับภาคการเกษตรมากที่สุด เพราะทำให้ราคาพืชผลที่ส่งออกเพิ่มขึ้นเท่าตัวเมื่อคิดเป็นเงินบาท ซึ่งเป็นการช่วยภาคที่ยากจนที่สุดของไทยได้อย่างทั่วถึง นอกจากนั้น ภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่พึ่งพาแรงงานและวัตถุดิบในประเทศไทยมากๆ (อาทิเช่น สิ่งทอและการท่องเที่ยว) ก็ได้รับประโยชน์เช่นกัน เมื่อค่าเงินบาทเริ่มปรับตัวมีเสถียรภาพที่ประมาณ 38-40 บาท ก็มีบริษัทต่างชาติเร่งเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพื่อใช้เป็นฐานการผลิตสินค้าประเภทต่างๆ อีกระลอกหนึ่ง จึงเห็นได้ว่าการปรับตัว เพื่อใช้หนี้คืนเจ้าหนี้ต่างชาติและปรับงบดุลทางการเงินของบริษัท และสถาบันการเงินในประเทศไทยนั้น ส่วนหนึ่งมาจากการเพิ่มทุนในตลาดหลักทรัพย์และอีกส่วนหนึ่งมาจากการขยายตัวของการส่งออก ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อเกษตรกรและมนุษย์เงินเดือน ตัวอย่างเช่น มูลค่าการส่งออกสินค้าและบริการของไทยในปี 2539 ที่ 1.8 ล้านล้านบาทนั้น เพิ่มขึ้นมาเป็น 6.6 ล้านล้านบาท ในปี 2551 ซึ่งมีส่วนสำคัญในการเพิ่มการจ้างงานประมาณ 6.7 ล้านตำแหน่งในช่วงดังกล่าว ในส่วนของภาคเกษตรนั้นปริมาณส่งออกข้าวที่เคยอยู่ที่ 5.4 ล้านตันในปี 2539 นั้น เพิ่มขึ้นมาเป็น 10 ล้านตันในปัจจุบันเป็นการขยายตัวที่สูงมากกว่าในอดีต ซึ่งปริมาณการส่งออกเฉลี่ย 4.2 ล้านตันต่อปีในช่วง 2523-2533 สรุปได้ว่าวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 นั้นรุนแรงมาก แต่แนวทางแก้ไขให้ประโยชน์กับคนจน เพราะมีส่วนของการลดค่าเงินบาท ซึ่งทำให้สามารถอาศัยการส่งออกกระตุ้นเศรษฐกิจและการจ้างงานคิดเป็นมูลค่าหลายล้านล้านบาท แต่ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่เผชิญอยู่ในวันนี้นั้นต้นตอมาจากการลดลงของมูลค่าทรัพย์สินทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นหุ้น (ซึ่งมูลค่าลดลง 30 ล้านล้านดอลลาร์) ตราสารหนี้และอนุพันธ์ต่างๆ ตลอดจนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งประเมินได้ว่าประชาชนในประเทศพัฒนาแล้วน่าจะจนลงประมาณ 2% สำหรับกรณีของสหรัฐนั้นเมอร์ริล ลินช์ ประเมินว่าทรัพย์สินของคนสหรัฐลดลง 13 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเกือบเท่ากับจีดีพีทั้งปี (14 ล้านล้านดอลลาร์) ซึ่งเมื่อบวกกับคนที่จะตกงานแล้วก็คาดการณ์ว่าการบริโภคของคนสหรัฐน่าจะลดลงประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 7% ของจีดีพี ในอีกด้านหนึ่งไอเอ็มเอฟประเมินว่า สถาบันการเงินทั่วโลกเสียหาย 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ และเพิ่มทุนไปได้แล้วเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ ดังนั้น ยังต้องเพิ่มทุนต่อเนื่องอีกอย่างน้อย 4 แสนล้านดอลลาร์ ทำให้สถาบันการเงินจะไม่สามารถปล่อยสินเชื่อเพิ่มได้จนกว่าจะเพิ่มทุนได้ แปลว่านอกจากภาคการผลิตจะได้รับผลกระทบจากการลดลงของยอดขายแล้ว ก็ยังจะเผชิญกับความฝืดเคืองของสินเชื่ออีกด้วย จึงสรุปได้ว่าเมื่อเดือนกันยายน-ตุลาคม 2551 โลกได้เผชิญกับวิกฤติทางการเงิน แต่รัฐบาลสหรัฐและยุโรปเข้าไปพยุงได้ทันท่วงที อย่างไรก็ดี แม้สถาบันการเงินจะรอดตายแต่ก็พิการ ทำให้ภาคเศรษฐกิจจริงต้องเผชิญกับการถดถอยอย่างรุนแรงนับแต่ปลายปี 2551 และ 2552 ซึ่งกำลังส่งผลกระทบมายังประเทศไทยในลักษณะที่หาลู่ทางบรรเทาผลกระทบได้ไม่ง่ายนัก ทั้งนี้ ปัจจุบันดูเหมือนว่าทุกฝ่ายเข้าใจถึงความเร่งด่วนของปัญหา แต่อาจยังไม่ได้คาดการณ์ถึงความรุนแรง และโดยเฉพาะอย่ายิ่งความยืดเยื้อของปัญหา ทั้งนี้ เพราะในวันนี้ ลูกค้าหลักๆ ของประเทศไทยได้จนลงอย่างถาวร ทำให้เราต้องลดการผลิตลดการพึ่งพาการส่งออก ทำให้การหางานทดแทนเป็นเรื่องที่จะทำได้ยากกว่าเมื่อปี 2540-2541 อย่างมาก ดังนั้น ปัญหาเศรษฐกิจในวันนี้ จึงเป็นปัญหาที่จะกระทบคนจนอย่างรุนแรงและยืดเยื้อมากกว่าครั้งก่อนๆ อย่างมากครับ บทความ : ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่มา :กรุงเทพธุรกิจ วันจันทร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2552 |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |