บริษัท พัฒนกิจ บัญชี ภาษีและฝึกอบรม จำกัด
Pattanakit Accounting Tax & Training Co., Ltd.
59/275 ซอยสุวินทวงศ์ 44 ถนนสุวินทวงศ์ แขวงลำผักชี เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร 10530
โทรศัพท์ 094-6574441 , 099-4567715 , 092-4634120, 061-0382531
Website :https://www.pattanakit.net / Email : infoservice2126@gmail.com

ทำงานเพื่อยังชีพ หรือมีชีวิตเพื่องาน
ทำงานเพื่อยังชีพ หรือมีชีวิตเพื่องาน จริงอยู่ถ้าเป็นผู้ที่จบการศึกษาใหม่ ๆ เพิ่งเริ่มต้นเข้าทำงานปรากฏการณ์ดังกล่าวอาจจะพบเจอไม่มาก แต่พอทำงานไปได้ระยะหนึ่ง คนทำงานเริ่มมีครอบครัว หรือหันมาให้ความสนใจกับชีวิตส่วนตัวมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เป็น Gen X ทั้งหลาย (พวกนี้อายุปัจจุบันอยู่ในช่วงประมาณ 40 บวก/ลบ) ก็จะเริ่มถึงทางหลายแพร่งระหว่างการเลือกการที่จะเติบโตในวิชาชีพ กับเลือกชีวิตส่วนตัวและชีวิตครอบครัว มีคำถามที่น่าสนใจว่าเมื่อถึงวัยหรือช่วงจังหวะหนึ่งของชีวิตเราจำเป็นต้องเลือกระหว่างอาชีพกับชีวิตส่วนตัวหรือไม่? เป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะโดดเด่นทั้งสองด้าน นั่นคือมีความรุ่งโรจน์ ในหน้าที่การงาน ประสบความสำเร็จ ทั้งในด้านตำแหน่ง สถานะทางสังคมและฐานะทางการเงิน ในขณะเดียวกันก็มีครอบครัวที่อบอุ่น มีเวลาให้กับครอบครัว มีเวลาในการดูแลสุขภาพของตนเอง มีเวลาทำในสิ่งที่ตนเองมีความชื่นชอบ(นอกเหนือจากงาน) ฯลฯ ท่านผู้อ่านลองมองไปรอบ ๆ ซิครับ เราจะพบคนที่รุ่งโรจน์และโดดเด่นทั้งสองอย่างยากพอสมควรนะครับ ที่พอจะพบได้ก็คือคุณผู้ชายประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน โดยที่ภรรยาเสียสละออกมาใช้เวลาให้กับครอบครัว แต่เราก็มักจะพบว่า คุณผู้ชายเหล่านี้ก็มักจะกลับบ้านดึก ๆ คํ่าๆ เสาร์ อาทิตย์ ก็ต้องออกไปทำงาน ไปสัมมนา ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับครอบครัวเท่าไร ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ Ahead of the Curves เขียนโดยนักหนังสือพิมพ์ซึ่งเข้าไปเรียน MBA ที่มหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ด และสิ่งที่เข้าค้นพบคือบรรดานักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ในอาชีพการงาน และกลับมาพูดให้นักศึกษาที่ฮาร์วาร์ดฟังนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะประสบความล้มเหลวในด้านครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นคนที่ผ่านการหย่าร้างมาหลาย ๆ ครั้ง หรือคนที่ไม่มีโอกาสและเวลาในการดูลูกเติบโต หรือมีแม้กระทั่งพวกที่ได้เจอหน้าลูกตอนที่ลูกหลับ เนื่องจากออกจากบ้านตอนเช้าก่อนลูกตื่น และกลับบ้านดึกหลังจากลูกหลับไปแล้ว ในวารสาร Business Week ฉบับเดือนกันยายน ก็ลงบทความใหญ่เรื่องของความสมดุล ระหว่างความก้าวหน้าในอาชีพกับชีวิตส่วนตัวไว้เหมือนกันครับ โดยเขาได้ไปสัมภาษณ์ผู้บริหารของบริษัทต่าง ๆ ไว้หลายคน ซึ่งข้อคิดจากบทสัมภาษณ์เหล่านี้ก็น่าสนใจและน่าเรียนรู้นะครับ ผู้บริหารของธนาคารแห่งหนึ่งให้สัมภาษณ์ไว้น่าสนใจครับ โดยจากประสบการณ์ เขาพบเจอคนที่หาเงิน มีรายได้สูงจำนวนมาก แต่ปัญหาของคนเหล่านี้คือยิ่งหาเงินได้มาก ก็ยิ่งใช้จ่ายมาก เขาเองได้ รับคำแนะนำที่ดีจากเจ้านายว่า ในการใช้เงินนั้น ให้เริ่มต้นจากการตอบสนองความต้องการพื้นฐานของตัวเราให้ได้ก่อน จากนั้นให้พยายามควบคุมความอยากของตนเอง (โดยเฉพาะความอยากได้ทื่เกินความต้องการพื้นฐาน) และถ้าเราสามารถควบคุมความอยากไว้ได้ เราก็จะมีอิสระทางด้านการเงินในชีวิตเรามากขึ้นและไม่ตกเป็นทาสของการทำงาน หรืออีกนัยหนึ่งคือ Work to live NOT live to work ถ้อยคำภาษาอังกฤษข้างต้นน่าสนใจนะครับ ท่านผู้อ่านลองพิจารณาตัวท่านเองซิ ครับว่า ในปัจจุบันท่านทำงานเพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้ หรือมีชีวิตอยู่เพื่อการทำงาน? พวกที่ทำงานเพื่อให้มีชีวิต ก็คือพวกที่ทำงานในระดับที่พอเพียง เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการพื้นฐานของชีวิตในด้านต่างๆ เพื่อทำให้รู้สึกว่าชีวิตนี้มีคุณค่า แต่ถ้าท่านเป็นประเภทที่สองคือมีชีวิตอยู่เพื่อการทำงาน ก็คือพวกที่ชีวิตนี้อุทิศแล้วให้กับงาน จะทำทุกอย่างและพร้อมจะเสียสละทุกอย่างในชีวิตเพื่อการทำงาน เชื่อว่าถ้าทุกคนเลือกได้ก็คงจะต้องเลือกเป็นคนประเภทแรกนะครับ เพียงแต่หลายคนอาจจะไม่มีทางเลือก หรือต่อให้มีทางเลือกก็เสพติดงานเข้าไปแล้ว ทำให้ชีวิตนี้ดำรงอยู่เพื่อการทำงานเป็นหลัก มหาตมะ คานธี ท่านได้เคยกล่าวไว้ครับว่า "Work is a means of living, it is not life itself" ท่านผู้อ่านบางท่านอาจจะบอกว่าทุกคนย่อมอยากจะทำงานเพื่อดำรงชีพ มากกว่ามีชีวิตเพื่อการทำงาน แต่ไม่มีูทางเลือก เนื่องจากรายได้ในปัจจุบันไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ หรือมีหนี้สินรุงรังหรือมีภาระรับผิดชอบที่จะต้องดูแลก็เลยอยากจะพาท่านผู้อ่านดูบทสัมภาษณ์ขอููงผ้บริหารอีกท่านหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นก้าวสู่ชีวิตการทำงาน จะได้วางแผนชีวิตได้ถูกต้องและไม่ตกเป็นทาสของงานเหมือนหลาย ๆ คน ที่ไม่มีทางเลือกในปัจจุบัน ผู้บริหารท่านนี้เขาระบุไว้ว่าเขาและภรรยาสามารถสร้างความสมดุลระหว่างอาชีพกับชีวิตส่วนตัวได้ โดยผ่านการวางแผนที่ดี โดยเริ่มต้นจากการเรียนต่อปริญญาโท ในปีแรก ๆ ที่เริ่มทำงาน เพื่อให้มีพื้นฐานและจุดเริ่มต้นที่แน่น และเลือกเรียนในสาขาที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูง พยายามใช้หนี้สินให้หมดไปตั้งแต่ปีแรก ๆ ของชีวิตสมรส นอกจากนี้ เขาและภรรยายังพยายามที่จะไม่ก่อหนี้สินต่าง ๆ ขึ้นมา โดยใช้ชีวิตที่พอเพียงและจ่ายทุกอย่างเป็นเงินสด ไม่ว่าจะเป็นการซื้อรถด้วยเงินสด ซื้อบ้านหลักแรก ที่ไม่เน้นหรูหรา ไม่เน้นต่อเติม แต่พออยู่ ๆ ไปก็ค่อย ๆ ต่อเติม และการต่อเติมแต่ละครั้งก็ใช้แต่เงินสด ทั้งเขาและภรรยาทำงานทั้งคู่ (มีบุตรสาวสองคน) และในที่ทำงานนั้น ชีวิตการทำงานของทั้งคู่กก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ ไม่หวือหวาเท่าเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ แต่ขณะเดียวกันทั้งคู่ก็ภูมิใจว่ามีคุณภาพชีวิตทีดีกว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ทั้งคู่ทำงานในบริษัทที่ใช้ระบบ Fixtime นั้นคือเข้าทำงานแต่เช้า และกลับบ้านได้เร็ว ทำให้มีเวลารับลูก เล่นกับลูก และดูแลลูกทุก ๆเย็น อย่างไรก็ดีจากตัวอย่างข้างต้นก็แสดงให้เห็นว่าผู้บริหารท่านนั้นก็ยังเลือกชีวิตครอบครัูวเหนือความก้าวหน้าในอาชีพการทำงาน อย่ดีนะครับ เพียงแตู่ถ้าเรามีการวางแผนที่ดี และหยุดยั้งความต้องการต่าง ๆ ของเราให้อย่ในระดับูที่พอเพียงได้ เราก็จะสามารถมีคุณภาพชีวิตทีดี และยังสามารถทำงานได้อย่างมีความสุข ท่านผู้อ่านจะเลือกทางเลือกไหนครับ บทความโดย : รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่มา : เว็บไซต์ห้องสมุดคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |