
บริษัทห้างหุ้นส่วนกับบุคคลธรรมดา
ในทันทีที่คิดตั้งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเพื่อประกอบกิจการอย่างใดอย่างหนึ่งนั้น มีปัจจัยที่เกี่ยวข้องในการตัดสินใจเลือกสถานภาพในการประกอบกิจการที่เป็นบริษัทอยู่หลายประการ อาทิ ด้านเงินทุน
หากต้องการใช้เงินทุนในการประกอบ กิจการจำนวนมาก ซึ่งลำพังตัวคนเดียวมีไม่พอ ก็ต้องอาศัยการเข้าหุ้นหรือการเป็นหุ้นส่วนในการเรียกระดมทุน
ขนาดของกิจการที่ประกอบ หากมีขนาดใหญ่และมีการขยายตัวออกไปมากขึ้นเรื่อย ๆ และมีความสลับซับซ้อนในการประกอบธุรกิจและการบริหารการจัดการนั้น
การประกอบกิจการในรูปเจ้าของคนเดียวอาจไม่ครอบคลุมทั่วถึงและมีประสิทธิภาพอย่างเพียงพอ ก็ต้องอาศัยมืออาชีพและการจัดองค์กรธุรกิจในรูปของบริษัทที่มีการแบ่งงานกันทำอย่างเป็นระบบแบบแผน

ความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบธุรกิจ ในทางสังคมมองว่า บุคคลธรรมดาล่องลอยไม่มีความน่าเชื่อถือ
ประกอบกับไม่มีมาตรฐานที่ดี แต่ ในการประกอบธุรกิจในรูปแบบบริษัทนั้น มีกฎหมายรองรับความเป็นมาตรฐานสากล
โดยกฎหมายว่าด้วยการบัญชี บังคับให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต้องจัดทำบัญชีตามหลักการบัญชีที่รับรองโดยทั่วไป (GAAP) นอกจากการจดทะเบียนเป็นหลักเเหล่ง และไม่ขึ้นอยู่กับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
ประเด็นความมีมาตรฐานในระดับสากล ถือเป็นประเด็นสำคัญของการเริ่มต้นประกอบกิจการ
และเป็นเครื่องหมายบ่งบอกถึงความมีระดับ ความมีระบบแบบแผนที่ดี ความมีมาตรฐาน ความเป็นสากล ไม่มั่วนิ่ม ซึ่งสะท้อนออกมาในรูปของการวางรูประบบบัญชีของกิจการ
ดังนั้นหากเอกสารหลักฐานประกอบการลงบัญชีดี มีความชัดเจนโปร่งใส ตรวจสอบได้ มีการบันทึกรายการทางบัญชีครบถ้วนทุกรายการ
และบันทึกตามมาตรฐานการบัญชีที่รับรองทั่วไป ก็ย่อมได้รับความน่าเชื่อถือจากสังคม และผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงยังเรียกความเชื่อมั่นได้อีกทาง
และยิ่งพิจารณาในมุมภาษีอากร ก็จะ เห็นได้ชัดเจนว่า การเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น ตั้งอยู่บนมาตรฐานการบัญชีหรือหลักการบัญชีที่รับรองโดยทั่วไปอย่างมาก
ซึ่งแตกต่างจากการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่ผู้ต้องเสียภาษีสามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ เว้นแต่มีมาตรฐานทางบัญชีที่ดี โดยมีหลักฐานพิสูจน์การมีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ก็อาจเลือกหักค่าใช้จ่ายจริงได้.
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จากบทความเรื่องนี้ เมื่อสัปดาห์ก่อนมีเสียงตอบรับจากท่านผู้อ่านพอสมควร และมีคำถามเพิ่มเติมว่า แล้วเมื่อไรควรจะเปลี่ยนจากการประกอบธุรกิจในรูปของบุคคลธรรมดาเจ้าของคนเดียวเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
ขอเรียนว่า ปัจจัยที่จะใช้ในการตัดสินใจเลือกรูปแบบของธุรกิจมีอยู่หลายต่อหลายปัจจัย อาทิ คู่ค้าหรือคู่สัญญากำหนดให้เราต้องเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนจึงจะทำธุรกิจด้วย เช่นนี้ ก็ต้องรีบจัดแจงแต่งตัวใหม่ให้เป็นบริษัทหรือห้างฯ ซึ่งแน่นอนว่า ภาระที่ตามมา ก็คือ ความมีมาตรฐานสากล ที่คู่กันมากับความเป็นบริษัทหรือห้างฯ อันได้แก่ มาตรฐานการบัญชี ที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการบัญชี ของกระทรวงพาณิชย์ โดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมีหน้าที่ต้องจัดทำหลักฐานและบันทึกบัญชีให้ถูกต้องครบถ้วนตามความเป็นจริงทางธุรกิจ เพื่อใช้ข้อมูลทางการเงินในการตัดสินใจ
นอกเหนือจากปัจจัยความน่าเชื่อถือทางธุรกิจ โดยการจัดทำบัญชีตามมาตรฐานการบัญชีที่รับรองทั่วไปหรือ แกป (GAAP) แล้ว ปัจจัยการขจัดความเสี่ยงทางธุรกิจ โดยการเป็นบริษัทจำกัด หรือหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิด ก็เป็นเหตุผลที่สำคัญอีกข้อหนึ่ง เพราะผู้ถือหุ้นในบริษัทจำกัด และผู้เป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิด ให้รับผิดเฉพาะมูลค่าหุ้นหรือหุ้นส่วนที่ยังชำระไม่ครบตามมูลค่าหุ้นหรือความเป็นหุ้นส่วนเท่านั้น
หากชำระเต็มมูลค่าหุ้นหรือหุ้นส่วนที่จดทะเบียนไว้ ก็เป็นอันไม่ต้องรับผิดเพิ่มเติมอีก ในขณะที่ประกอบธุรกิจเจ้าของคนเดียวและหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิด ต้องรับผิดในจำนวนหนี้ที่มีต่อบุคคลภายนอกไม่จำกัดจำนวน
ในทางภาษีอากรนั้น อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลก็เป็นปัจจัยในการตัดสินใจเปลี่ยนรูปแบบของธุรกิจด้วย กล่าวคือ หากการประกอบธุรกิจในรูปของบุคคลธรรมดายังมีเงินได้สุทธิไม่เกินกว่าสี่ล้านบาท จะยังเสียภาษีในอัตราไม่เกิน 30% และหากมีเงินได้สุทธิเกินกว่าสี่ล้านบาทต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตรา 37% ซึ่งเท่ากับการเสียภาษีเงินได้จากกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งจำนวนกำไรและอัตราภาษีเป็นจุดตัดที่บอกว่า สมควรเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้แล้ว เพื่อขยายกิจการและสร้างความมีมาตรฐานให้เพิ่มยิ่งขึ้นไป ในอันที่จะพัฒนาธุรกิจให้ก้าวไกลด้วยความเป็นมืออาชีพ และหากทำกำไรได้เช่นนั้น การพัฒนาให้เติบโตอย่างรวดเร็วและสูงกว่านั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปแล้วครับ ความสำเร็จในอาชีพ ความมั่งคั่งมั่นคงก็จักบังเกิดขึ้นอย่างถาวรจนนิรันดร์.

บทความโดย : สุเทพ พงษ์พิทักษ์
ที่มา : คอลัมภ์ มุมภาษี นสพ.เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 14 และ 21 กรกฎาคม 2551