เขียนหนังสืออย่างไรผู้อ่าน จึงจะชอบ
คำถามที่เอามาเป็นหัวข้อนี้แม้จะยาวไปหน่อยแต่ก็น่าสนใจมากสำหรับผู้ปรารถนาจะเป็นนักเขียน นักประพันธุ์ ควรจะได้อ่านและทำความเข้าใจคำถามและคำตอบเป็นข้อเขียนที่แปลเรียบเรียงมา ผู้แปลคือศาสตราจารย์ ดร.บุญ อินทรัมพรรย์ ราชบัณฑิตสาขาวิทยาศาสตร์ประยุกต์ ลงพิมพ์ในหนังสือวารสารอนุรักษ์ดินและน้ำปีที่ 3 ฉบับที่ 2 ประจำเดือนธันวาคม กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2526 ซึ่งออกจะหาอ่านได้ยาก จึงขออนุญาตถ่ายทอดมาให้อ่านกัน ใจความของคำตอบแบ่งเป็นข้อ ๆ จำนวน 12 ข้อ คำตอบดังนี้
1. เขียนเพื่อให้อ่านง่าย
เขียนเพื่อให้อ่านง่ายเป็นวัตถุประสงค์ใหญ่ของการเขียนหนังสือ เมื่อผู้เขียนใด ๆ รับหลักการนี้ไปแล้ว ผู้เขียนผู้นั้นก็ย่อมจะเป็นที่นิยมของผู้อ่านได้ในเวลาไม่ช้า คือความปรารถนาดีของนักเขียนนั้นย่อมก่อให้เกิดกำลังใจแก่ท่านผู้นั้นเอง ความปรารถนาดีเช่นนี้จะเป็นคำตอบที่ส่งเสริมให้นักเขียนนั้นมีความเพียรฝึกฝนตนให้เป็นคนอ่านหนังสือมาก ฟังมาก เขียนมาก และอ่อนโยน แล้วผู้เขียนนั้นก็จะเป็นนักเขียนและมีความภูมิใจในตัวเองว่า เขียนเพื่อสื่อความคิดและสื่อข้อเท็จจริงที่ถูกต้องพร้อมทั้งให้ความเพลิดเพลิน และการจูงใจผู้อ่าน นักเรียนทุกคนย่อมเข้าใจดีว่า การเขียนหนังสือนั้นยากกว่าการพูด เพราะในเวลาพูดนั้นผู้พูดมีโอกาสใช้เสียง ใช้กิริยาท่าทางต่าง ๆ เป็นส่วนประกอบช่วยการพูดได้ นักเขียนไม่มีโอกาสใช้ส่วนประกอบเช่นนั้น ในการเขียนหนังสือนั้น ผู้เขียนใดสามารถแสดงความคิดของตนให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง ก็นับว่าผู้เขียนคนนั้นมีสมรรถภาพเป็นนักเขียนสำคัญ หากว่าผู้อ่านอ่านแล้ว เข้าใจความตรงกันข้ามกับความคิดของผู้เขียนแล้ว ก็นับว่าผู้เขียนคนนั้นขาดสมรรถภาพ เป็นนักเขียนตกอันดับ นักเขียนระดับมาตรฐาน จะเรียงความโดยผูกเป็นประโยคให้ผู้อ่านอ่านได้ง่าย ๆ ชัดเจน จำได้เร็วและเกิดความสนใจ แสดงให้ประจักษ์ว่าใช้ความระวังในเรื่องหลักภาษา หรือไวยากรณ์ และเข้าใจเลือกคำเหมาะใช้ ทั้งนี้เรื่องที่เขียนนั้นก็เกิดคุณประโยชน์แก่ผู้อ่านได้ถึง 5 ประการ อ่านได้เร็ว เข้าใจเรื่องได้ดี จำเรื่องราวได้นานพอสมควร ได้รับความเพลิดเพลิน และได้ความรู้จากงานเขียนหรือวรรณกรรมนั้น
2. คิดเสียก่อนเสมอ , แล้วจึงเขียน
นักเขียนควรมีคติประจำใจว่า เขียนได้แจ่มแจ้งเท่าใด ก็ย่อมก่อให้ผู้อ่านได้มีความคิดมากขึ้นตาม ลำดับ ดังนั้น เมื่อจะเขียนเรื่องให้แจ่มแจ้งแล้ว นักเขียนจะต้องคิดเสียก่อนหรือวางแผนในสมองก่อนเสมอ คิดออกมาว่าจะต้องเรียกหัวข้อเรื่องว่าเรื่องอะไร มีข้อความใดที่ควรเริ่มก่อนหรือหลัง ระบุข้อความออกมาให้ชัดเจน ไม่มีการคลุมเครือ ต้องคิดเสมอว่าเรื่องที่เขียนนั้นใช้ข้อความและถ้อยคำที่ถูกต้อง ชัดเจน กะทัดรัด และตรงเป้าหมาย สรุปแล้ว นักเขียนจะต้องแสดงความคิดเห็นออกให้ผู้อ่านเข้าใจและเห็นความสำคัญ วิธีการที่นักเขียนนิยมปฏิบัติในระหว่างเวลาคิด ก็ใช้คำถาม 5 คำ คือ ใคร อะไร ที่ใด เมื่อไร และ ทำไม เมื่อนักเขียนประมวลข้อความที่จะเขียนเป็นขั้นตอนแล้ว ก็ตั้งต้นเขียนตามลำดับความคิด คำแนะนำข้างต้นเป็นหลักการทั่วไปที่ได้ให้ความสำเร็จแก่นักเขียนหลายคนมาแล้ว
3. เขียนให้ถูกเป้าหมาย
ประโยคแรกของเรื่องเป็นประโยคนำที่สำคัญ นักเขียนจะต้องเริ่มข้อความในประโยคแรกให้ตรงเป้า หมาย คือแสดงให้ผู้อ่านเห็นว่า ผู้เขียนเขียนเข้าสู่เป้าหมาย เป้าหมายนั้นไม่ใช่อะไรอื่น คือหัวข้อเรื่องที่กำหนดนั้นเอง ประโยคแรกจะจูงใจให้ผู้อ่านรู้ว่านักเขียนตรงเป้า ไม่ใช่เขียนลีลาที่เรียกว่า เขาวงกต ข้าพเจ้าขอให้ท่านได้อ่านพระนิพนธ์เรื่องสั้น ๆ ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้แก่พระราชนิพนธ์เรื่อง เหตุใดข้าพเจ้าจึงชอบดนตรีไทย และ เบื้องหลังการแต่งเพลงของข้าพเจ้า ซึ่งมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตสงขลา ได้พิมพ์เนื่องในงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี พ.ศ. 2525 ผู้ใดได้อ่านพระนิพนธ์ดังกล่าว จะสังเกตได้ทันทีว่าประโยคแรกของพระนิพนธ์ตามหลัก เขียนให้ถูกเป้าหมาย ผู้อ่านจะสามารถติดตามพระปรีชาสามารถแต่ต้นจนจบ ได้รับความรู้และความเพลิดเพลิน
4. ใช้คำชินหูชินตา
ทุกวันนี้นักเขียนนิยมใช้คำที่ชินหูชินตา มากกว่าจะใช้คำศัพท์สูง การใช้ คำใหญ่ ก็ดี คำศัพท์สูง ๆ ก็ดีนั้น แสดงว่านักเขียนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิรอบรู้คำศัพท์มาก แต่ กระนั้นผู้เขียนก็ควรเลือกใช้เท่าที่จำเป็น เพราะว่าในการสื่อความคิดกับผู้อ่านแล้ว ผู้เขียนควรจะใช้คำที่ผู้อ่านได้สะสมไว้ในสมองเขา ได้แก่คำที่ชินหูชินตาโดยทั่วไป หากว่าผู้อ่านไม่เข้าใจความหมายของคำที่ผู้เขียนใช้ เขาก็เข้าใจความคิดของนักเขียนนั้นว่า ไม่มีอะไรดีก็ได้ ถ้านักเขียนทำให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องไม่ได้ ก็นับว่านักเขียนนั้นตกอันดับ คือผู้อ่านไม่นิยม ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะผู้อ่านน้อยคนนักที่จะสละเวลาค้นหาคำแปลศัพท์สูง ๆ ว่ามีความหมายอะไร ส่วนมากจะชอบแต่จะอ่านเรื่องที่เข้าใจง่าย ถ้าพบว่าข้อความตอนใดวรรคใดเป็นประโยคยาวและมีคำที่ไม่ชินหูชินตาแล้ว ก็ชักไม่อ่านต่อไป เพราะไม่มีเวลาจะแกะความ ในปัจจุบันเป็นที่เข้าใจกันแล้ว นักเขียนที่ผู้อ่านนิยมนั้นคือนักเขียนที่สามารถผูกประโยคสั้น ๆ และใช้คำศัพท์ยาก ๆ น้อยคำ พยายามใช้คำที่ง่ายหรือคำ ชินหูชินตา
5. คำที่ใช้ต้องเหมาะสมและชัดเจน
นักเขียนทุกคนจะระลึกเสมอว่า คำที่ใช้จะต้องเหมาะสมและชัดเจนและมีความหมายทางเดียว นักเขียนจะต้องระวังในการใช้คำ คำที่ก่อให้เกิดความฉงนสนเท่ห์ หรือคำใดที่นักเขียนเองยังไม่เข้าใจ ดี ก็ไม่ควรใช้ นักเขียนจักต้องสังวรว่า คำอรรถหรือคำศัพท์สูง ๆ นั้น ผู้อ่านแต่ละคนจะตีความหมายไม่ตรงกับนักเขียนก็ได้ วิธีการที่ดีก็คือ นักเขียนเลือกใช้คำที่เหมาะสม สุภาพและชัดเจน ซึ่งเป็นคำที่ผู้อ่านสัมผัสได้ด้วย การเห็น การฟัง และการลิ้มรส คำที่มีคุณสมบัติดังกล่าวนี้จะทำให้ผู้อ่านสนใจ
6. ใช้คำคุณศัพท์ให้น้อยไว้
คำคุณศัพท์นั้นควรจะใช้ให้เหมาะสมแก่สภาพของเรื่อง เรื่องที่เขียนจึงจะเป็นรายงานหรือบทความที่ดี คำคุณศัพท์มากไปจะทำให้ผู้อ่านฉงน นักเขียนรุ่นนวกะมักจะเผลอใช้คุณศัพท์มากไป เพราะยังไม่ทราบว่ารายงานใดที่มีคำคุณศัพท์มากไปนั้นก็หมายความถึงว่าให้ข้อเท็จจริงเกินเหตุไป ดังนั้นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ที่เด่นจึงแนะนำนักข่าวนวกะใช้คำคุณศัพท์เท่าที่จำเป็น
7. พยายามเขียนให้ประโยคสั้นแต่ได้ความมาก
การเขียนที่ดีจักต้องเขียนให้ประโยคสั้น แต่กินความมาก นักเขียนที่ดีจะต้องหัดแต่งหนังสือของตนให้ สั้นและได้ความหมายมาก ด้วยวิธีการตัดวลีและคำที่ไม่จำเป็นออก ผู้อ่านหนังสือนั้นชอบประโยคสั้นมากกว่าประโยคยาว ในประโยคหนึ่ง ๆ ควรให้ใช้คำ ซึ่ง อัน ฯลฯ ให้น้อยที่สุด ประโยคหนึ่ง ๆ คิดเฉลี่ยแล้วไม่ควรไม่เกิน 20 คำ การเขียนหนังสือไทยให้มี ช่องไฟ เพื่อเป็นการแสดงการเว้นวรรคเว้นตอนว่าถูกต้องแล้วนั้นยังไม่พอ เพราะเมื่อนำเรื่องไปพิมพ์ อาจจะพิมพ์คำติดกันไป หรือ ข้อความที่ควรจะพิมพ์คำให้ติดกันกลับพิมพ์เว้นวรรคไปเสียประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่ง การเว้นวรรคใหญ่เพื่อแสดงถึงการจบประโยค และการเว้นวรรคน้อยเพื่อแสดงถึงการจบวลีนั้น เป็นเรื่องที่ปฏิบัติยาก ดังนั้นผู้เขียนควรฝึกหัดใช้เครื่องหมายมหัพภาคหรือจุด (.) เมื่อจบประโยคหนึ่ง ๆ เสมอ (ส่วนเครื่องหมายวรรคตอนรูปอื่น ๆ ก็ควรจะฝึกหัดพร้อมกันไปด้วย) ทั้งนี้ความเรียงที่ใช้เครื่องหมายวรรคตอนนั้นจะชัดเจนยิ่งขึ้น หากว่าความเรียงประโยคใด ๆ มีเครื่องหมายวรรคตอนถูกต้องแล้ว มันยังไม่ได้ความดี ผู้เขียนพึงรู้ไว้ว่าต้องเขียนความเรียงประโยคนั้นใหม่ ในขณะนี้ราชบัณฑิตยสถาน และสภาวิจัยแห่งชาติกำลังสนับสนุนให้ใช้เครื่องหมายวรรคตอน เพราะเห็นแล้วว่าเป็นการช่วยในการแต่งหนังสือและช่วยผู้อ่านด้วย นานาชาตินั้นยอมรับแล้วว่าการเขียนหนังสือที่เว้นวรรคตอนผิดพลาด เพราะไม่ใช้เครื่องหมายวรรคตอน หรือใช้เครื่องหมายวรรคตอน ผิดพลาด ทั้งสองประการนี้ส่อให้เห็นว่าผู้เขียนหนังสือหละหลวมในความคิดด้วยก็ได้ ในปัจจุบันประเทศไทยก็ต้องแสดงฝีมือว่ามีความรู้แลกเปลี่ยนกับต่างประเทศได้ การแปลเรื่องวิขาการภาษาไทยซึ่งมีเครื่องหมายวรรคตอนแล้วนั้น ก็จะเป็นงานสะดวกแก่ผู้มีหน้าที่แปลมาก
8. เขียนวรรคสั้นดีกว่าเขียนวรรคยาว
วรรคที่สั้นนั้นช่วยให้ผู้อ่านไม่ต้องเพ่งหนังสือ เป็นการช่วยลูกตาไม่ให้เพลียทำให้ลูกตาสามารถกราดดู ตัวหนังสือได้ดีด้วย วรรคยาวย่อมมีข้อความมากเป็น ก้อนใหญ่ ทำให้ผู้อ่านข้ามไป ทำให้เข้าใจเรื่องราวของหนังสือนั้นไม่ทั่ว เลยทำให้ผู้อ่านเบื่อและไม่อยากจะอ่านหนังสือนั้นต่อไปอีกก็ได้ นักหนังสือพิมพ์จึงบอกว่าเขียนวรรคยาวทำให้ เสีย ลูกค้า ไม่ควรคิดว่าผู้อ่านอ่านหนังสือให้เร็ว เพราะเข้าใจว่าข้ามความข้ามวรรคนั้น เป็นกันทุกคน เดี๋ยวนี้นักเขียนหนังสือและนักแปลหนังสือ นิยมใช้วรรคสั้น ๆ วรรคสั้นเป็นสัญญาณให้ผู้อ่านเข้าใจวิธีการเขียนของผู้เขียนว่าพยายามช่วยผู้อ่าน วรรคสั้นช่วยให้ผู้อ่านจดจำข้อความสำคัญได้มาก ตามหลักแล้ว ประโยคแรกหรือประโยคสองของวรรคใหม่ ควรจะเป็นสัญญาณแก่ผู้อ่านว่า วรรคใหม่นี้เริ่มหัวข้อใหม่ วรรคหนึ่ง ๆ ควรจะบอกแต่ความคิดข้อหนึ่ง ๆ ของผู้เขียน เมื่อเขียนจบวรรคหนึ่ง ๆ แล้ว ผู้เขียนควรจะตรวจดูว่า จะควรแบ่งออกเป็นสองวรรคนั้นจะเหมาะสมหรือไม่
9. เขียนหนังสือให้อ่านง่ายและเว้นการเขียนลีลาซับซ้อน
หนังสือที่อ่านเข้าใจยากหรือซับซ้อนนั้นเป็นความบกพร่องของนักเขียน ไม่ใช่ข้อบกพร่องของผู้อ่าน นักเขียนจึงพึงเขียนเพื่อตนเองเข้าใจได้ง่ายด้วยเหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่ควรเขียนข้อความซับซ้อนพัลวัน นักเขียนจึงเลือกใช้คำที่ง่าย เขียนประโยคง่าย เขียนวรรคสั้น นักเขียนพึงสังวรว่า ผู้อ่านจะไม่ชอบเสียเวลาตีความที่แต่งนั้นก็ได้ เพราะไม่มีเวลามาแคะความคิดที่ สลับซับซ้อน
10. เขียนให้แจ่มแจ้งตรงกับความที่คิดไว้
ผู้เขียนจงเขียนให้ตรงกับความคิด ความประสงค์ ฯลฯ ของตนเสมอไป ข้าพเจ้าขอเล่าเรื่องหนึ่ง ลูกศิษย์ คนหนึ่งของข้าพเจ้าทำงานเก่ง เขานำข้าพเจ้าดูงานของเขาและอธิบายได้ตรงกับที่เขาทำงานไว้ ข้าพเจ้าต้องบอกกับเขาว่า ข้อความที่เขาแต่งเพื่อให้คนทั่วไปอ่านนั้นไม่ตรงกับที่เขาอธิบายให้ข้าพเจ้าฟัง นักวิขาการผู้ใหญ่หลายท่านก็รับว่าเรื่องเช่นนี้เป็นไปได้ นักเขียนที่เก่งมักเข้าใจดีว่า คนเราเขียนเกินข้อเท็จจริงได้ ดังนั้นผู้เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์จึงต้องให้นักข่าวเล่าเรื่องที่ไปได้มาให้ฟังเสียก่อน แล้วให้นักข่าวนั้นไปเขียนมาให้ตรงตามที่เล่า เพราะว่าข่าวที่เล่านั้นย่อมเป็นประโยคสั้น ได้ข้อเท็จจริงที่สำคัญ เรียกว่าเขียนเรื่องตามภาษาพูด เขียนเช่นนี้จะตรงเป้าหมาย ข้อเขียนที่มีสำเนียงการพูดจะทำให้เรื่องน่าอ่าน ทำให้เกิดความสนใจ และช่วยให้เกิดความเข้าใจด้วย ในการเขียนหนังสือ ต้องพยายามให้ได้ความแจ่มแจ้งถึงขั้นที่รับรองได้ว่าไม่มีปัญหาถามได้อีก ดังนั้นนักเขียนจึงผูกประโยคให้ได้ความตรงไปสู่เป้าหมายไม่ต้องอ้อมค้อม วิธีการก็คือผูกประโยคให้มีประธาน กิริยาและกรรม หัดพูดเป็นประโยคไว้เสมอ ๆ จะช่วยในการเขียนด้วย การฝึกพูดและเขียนประโยคเป็นนิสัยแล้ว จะทำให้ข้อเขียนของนักเขียนผู้นั้นมีชีวิตชีวา ประโยคเช่นนี้จะเป็นประโยคที่สั้นและน่าฟัง
11. รู้จักแก้หนังสือ
การแก้หนังสือที่เขียนแล้วเป็นส่วนหนึ่งของการเขียนหนังสือที่ดี เราไม่ใคร่จะหัดและสละเวลาในการ ตรวจแก้ข้อเชียนของตนนัก เห็นว่าเขียนแล้วก็เสร็จเรื่องแล้ว เนื่องด้วยไม่มีบรรณาธิการเฉพาะกิจเพื่อมีหน้าที่ตรวจแก้ เรื่องที่เขียนเพื่อเผยแพร่ความรู้ต่าง ๆ จึงมักจะไม่ได้รับการชม วิธีการแก้หนังสือนั้นง่ายคือ อ่านร่างนั้นดัง ๆ วิธีเช่นนี้จะช่วยให้ผู้เขียนร่างนั้น จับ คำและประโยคที่ควรแก้ไข เมื่อเขียนร่างเสร็จครั้งแรกและอ่านอย่างจริงจังก็จะพบว่าความหมายใดไม่แจ่มแจ้งก็แก้ไขข้อความให้ชัดเจนขึ้น โดยการดูวรรคตอนและการใช้เครื่องหมายวรรคตอน เปลี่ยนคำใหม่หรือตัดคำนั้นคำนี้ออกไปบ้าง บางทีก็อาจจะพบว่าในร่างนั้นมีบางประโยค บางวลี และบางคำหายไป บางทีก็หายไปทั้งวรรคเลย ดังนี้ก็จะได้แก้ไขได้ทันท่วงที บางทีก็ต้องแบ่งบางวรรคออกเป็นสองวรรค ขีดเส้นใต้คำสำคัญและความคิดที่แสดงออกนั้นด้วย ต้องตรวจดูว่ามีคำที่ทำให้บทความ อ้วน และเปล่าประโยชน์ ตรวจดูว่าวลีใดที่ล้าสมัย ตรวจดูประโยคที่ไม่จำเป็น ตรวจดูว่ามีวรรคใดไม่มีความหมายเลย ถ้ามีแล้วก็พิจารณาตัดออก สุดท้ายก็ถามตนอีกว่า ผู้อ่านสามารถเข้าใจเรื่องที่เขียนไหม ? ถ้าเห็นว่าผู้อ่านคงไม่เข้าใจ ผู้เขียนก็ต้องรู้ตัวว่าต้องแก้ไขอีกจนให้ได้ดีให้ได้ ฝึกหัดเช่นนี้ได้ ในไม่ช้าก็เขียนได้ดีและแทบจะไม่มีการแก้เลยก็ได้
12. พยายามแสดงความคิดของตน
นักเขียนที่ดีจะต้องแสดงออกซึ่งความคิดของตนให้ประจักษ์แก่ผู้อ่าน นักเขียนผู้แสดงตนว่าเขียนประโยคยาว ๆ ได้และวรรคใหญ่ ๆ ได้ เพื่อแสดงว่าตนเป็นเอกในการ ประพันธ์นั้น ก็นับว่าเป็นการเชื่อตนเองมากเกินไป ความจริงแล้วผู้เขียนจะต้องทำสำนึกเสมอว่า เขียนเพื่อบอกเล่าแก่ผู้อ่าน เพื่อได้เป็นสื่อส่งข้อมูลหรือข้อเท็จจริงจากจิตใจของเขาไปสู่จิตใจของผู้อ่าน นักเขียนผู้สามารถแสดงความเห็นของตนให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่าย ย่อมได้รับการยกย่องจากผู้อ่านเสมอว่าเป็นผู้ให้ความคิดที่มีคุณค่า
ที่มา : http://www.story2you.com