
การอายัดเงินเดือน โบนัส ค่าตอบแทนต่าง ๆ
ในกรณีที่ลูกหนี้ ไม่มีทรัพย์สินจะให้ยึด เจ้าหนี้จะสืบต่อไปว่าลูกหนี้ทำงานที่ไหน เพื่อจะอายัดสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ ซึ่งสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้นี้ ก็เช่น สิทธิที่จะได้รับเงินเดือนจากนายจ้าง ค่าล่วงเวลา เงินโบนัส ค่าจ้างทำของต่าง ๆ เป็นต้น โดยมีหลักเกณฑ์ในการอายัด ดังนี้
1.การสั่งอายัดเงินเดือน ค่าจ้าง ได้แค่ 30% ของเงินเดือน ขณะที่ได้รับหนังสืออายัด โดยคำนวณจากเงินเดือนก่อนหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ภาษี ประกันสังคม
2.เงินโบนัส อายัดได้ 50%
3.เงินตอบแทนกรณีลูกหนี้ออกจากงาน อายัดได้ 100%
4.เงินค่าคอมมิชชั่นอายัดได้ 30%
5.ส่วนเงินสวัสดิการ เช่น ค่าน้ำมัน,ค่าเบี้ยเลี้ยง,ค่าเดินทาง,ค่าที่พัก, ค่าน้ำ,ไฟฟ้า,ประปา,โทรศัพท์,ค่าตำแหน่ง,ความสามารถ ฯลฯ ที่จัดเป็นสวัสดิการ ขึ้นอยู่กับเจ้าหนี้จะสืบทราบและร้องขอต่อศาลว่าจะขออายัดเท่าไหร่
6.ในกรณีลูกหนี้ เงินเดือน ไม่ถึง 10,000 บาท ห้ามเจ้าหนี้อายัดเงินเดือน แต่มิได้หมายความว่าหนี้จะหมดไป เพียงแต่แขวนหนี้เอาไว้ก่อน
7.หากลูกหนี้เป็นข้าราชการหรือลูกจ้างประจำของส่วนราชการ ห้ามเจ้าหนี้อายัดเงินเดือน
8.เมื่อถูกอายัดเงินเดือน หรือรายได้ใด ๆ ก็ตาม รวมแล้วลูกหนี้ต้องมีเงินเหลืออย่างน้อยเดือนละ 10,000 บาท แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้เงินมากกว่า 10,000 บาท เช่น มีภาระครอบครัว ต้องดูแลบุพการี หรือมีโรคประจำตัว ก็สามารถยื่นคำร้องต่อศาลให้เพิ่มจำนวนเงินมากกว่า 10,000 บาทได้ นอกจากนี้ ก็ยังสามารถขอลดหย่อนสัดส่วนการอายัดรายได้ให้น้อยกว่าร้อยละ 30 หากมีความจำเป็น
9.เมื่อเจ้าหนี้หลายราย เมื่อเจ้าหนี้รายใดอายัดเงินเดือนลูกหนี้แล้ว ห้ามเจ้าหนี้อื่นอายัดเงินเดือนลูกหนี้ซ้ำอีก
10.ลูกหนี้สามารถขอให้ทางบริษัท ออกหนังสือรับรอง หรือหลักฐานเพื่อแยกให้เห็นว่า เป็นเงินเดือนเท่าไหร่, เป็นสวัสดิการเท่าไหร่ เพราะ เงินสวัสดิการเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต้องใช้ เช่น ค่าที่พัก,ค่าน้ำมัน เป็นต้น
การบังคับคดีตามคำพิพากษา ท่านห้ามมิให้บังคับคดีเมื่อพ้นกำหนดเวลา 10 ปี นับแต่ศาลมีคำพิพากษา
ที่มา : มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค http://www.consumerthai.org