คำแนะนำสำหรับผู้บริโภค ในการสร้างและรักษาประวัติข้อมูลเครดิต    

       โดยปกติแล้ว หากผู้บริโภคมีประวัติสินเชื่อในทางลบจริงตามที่สถาบันผู้ให้สินเชื่อรายงาน ผู้บริโภคก็ไม่ควรพยายามหาทางแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายงานนั้นๆ ควรปล่อยให้"เวลา"เป็นเครื่องพิสูจน์และช่วยแก้ไขบัญหานี้เพราะข้อมูลเครดิตมิได้เก็บไว้ตลอดไป แต่มีอายุชั่วระยะเวลาหนึ่ง(ประมาณ 3 ปี) และมิได้เป็น"แบล็คลิสท์" แต่เป็นการแสดงแบบแผนพฤติกรรมการชำระหนี้
ตลอดช่วงระยะเวลานั้น สำหรับผู้บริโภคโดยทั่วไป มีคำแนะนำดังนี้

 ผู้บริโภคควรดำรงสัดส่วนหนี้อย่างเหมาะสม
ผู้บริโภคไม่ควรมีภาระหนี้ที่ต้องจ่ายต่อเดือน(นอกเหนือไปจากหนี้ที่เกี่ยวกับ การจำนองหรือสินเชื่อที่อยู่อาศัย)เกินกว่าร้อยละ 15 ของรายรับสุทธิในแต่ละเดือนที่เหลือ เช่น ผู้มีรายได้มีเงินเหลือสุทธิ หลังจากหักชำระภาษีเงินได้แล้วเหลือ 20,000 บาท หากมีภาระจ่ายค่าจำนองบ้านเดือนละ 4,000 บาท จะเหลือเงินเดือนละ16,000 บาท ดังนั้นเขาไม่ควรมีภาระต้องชำระหนี้ส่วนอื่นๆเกินกว่าเดือนละ 2,400 บาท

 โดยปกติการสมัครเป็นสมาชิกบัตรของห้างสรรพสินค้าอาจได้รับการพิจารณาง่ายกว่าการสมัครเป็นสมาชิกบัตรจากสถาบันการเงิน
ผู้บริโภครายใหม่ๆที่ไม่สามารถขอบัตรเครดิตจากสถาบันการเงินได้จึงอาจพิจารณาขอจากห้างสรรพสินค้าก่อนและ เมื่อได้รับการบอกรับเป็นสมาชิกบัตรแล้วและมีการใช้บริการผ่านบัตรแล้วผู้บริโภคควรชำระหนี้ตามใบแจ้งหนี้ให้ตรงตามกำหนดเวลา

 ผู้บริโภคควรมีบัตรเครดิตจำนวนน้อยเท่าที่พอเพียง และควรปิดบัญชีบัตรเครดิตใดๆที่ไม่ได้ใช้แล้ว
โดยปกติสถาบันผู้ให้สินเชื่อ จะดูขีดความสามารถในการจับจ่ายว่าผู้บริโภครายนั้นๆมีขีดความสามารถในการชำระหนี้ได้ขนาดไหน และหากมีจำนวนบัตรเครดิตมากแนวโน้มการก่อหนี้ก็จะมีมากขึ้น

 ผู้บริโภคควรชำระหนี้ทุกรายการตามใบแจ้งหนี้จากสถาบันเจ้าหนี้ในจำนวนขั้นต่ำที่กำหนดและภายในระยะเวลาที่กำหนด
เนื่องจากหากมีการค้างชำระ ผู้บริโภคอาจถูกสถาบันผู้ให้สินเชื่อคิดค่าธรรมเนียมหรือดอกเบี้ยชดเชยกับการชำระล่าช้า และประวัติการค้างชำระล่าช้าจะปรากฏในรายงานข้อมูลเครดิต ซึ่งอาจย้อนหลังไปประมาณ 24-36 เดือน

 หากไม่สามารถที่จะชำระหนี้ได้ตามกำหนดระยะเวลา หรือหากพบว่าข้อมูลในใบแจ้งหนี้มีความคลาดเคลื่อน
ควรรีบติดต่อ กับสถาบันผู้ออกบัตรทันที การดำเนินการร้องเรียนหรือแก้ไขข้อมูลควรทำเป็นลายลักษณ์อักษร

 เมื่อมีกฎหมายบังคับใช้ที่อนุญาตให้ผู้บริโภคเรียกดูข้อมูลของตนเองได้
ผู้บริโภคควรเรียกดูข้อมูลของตนเองประมาณปีละครั้งเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง

ที่มา : มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค  http://www.consumerthai.org