บริษัท พัฒนกิจ บัญชี ภาษีและฝึกอบรม จำกัด
Pattanakit Accounting Tax & Training Co., Ltd.
59/275 ซอยสุวินทวงศ์ 44 ถนนสุวินทวงศ์ แขวงลำผักชี เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร 10530
โทรศัพท์ 0-2019-4656 , 0-2023-7182 , 084-1568284, 092-4634120, 098-2529544, Fax 0-2019-4659
Website :https://www.pattanakit.net / Email : pat@pattanakit.net

เรื่องของภาษีเงินได้
ยังไงๆ รัฐบาลก็ยังต้องเก็บภาษีพลเมืองอยู่ เพราะว่ารัฐบาลต้องทำบริการสาธารณะบางอย่าง ที่ยังปล่อยให้เอกชนทำแทนทั้งหมดไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดก็เรื่องการคุ้มครองสิทธิให้แก่บุคคล หรือการป้องกันประเทศ เป็นต้น รัฐบาลจึงยังต้องเก็บภาษีเพื่อให้มีงบประมาณ (แม้ว่าในทางเศรษฐศาสตร์ ภาษีก่อให้เกิดต้นทุนทางสังคมเสมอ) ส่วนรัฐบาลควรเก็บภาษีมากหรือน้อย เพราะว่ารัฐบาลควรทำบริการสาธารณะด้วยตนเองมากหรือน้อยแค่ไหน เป็นเรื่องที่ยังเถียงกันไม่จบ แต่สรุปแล้ว แทบไม่มีใครไม่เห็นด้วยว่า รัฐบาลยังต้องเก็บภาษีอยู่ มากหรือน้อยอีกเรื่องหนึ่ง แต่นอกจากเหตุผลเรื่องบริการสาธารณะแล้ว ยังมีแนวคิดอีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับหน้าที่ของภาษีที่มาแรงไม่แพ้กัน คือ ภาษีถือเป็นวิธีการกระจายรายได้รูปแบบหนึ่ง ที่ใช้ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม แนวคิดนี้ทำให้มีการเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้า คือคนรวยต้องจ่ายภาษีในอัตราสูงกว่าคนจน แล้วนำภาษีมาทำสวัสดิการสังคมต่างๆ เป็นการกระจายรายได้โดยทางอ้อม พักหลังดูเหมือนหน้าที่นี้ของภาษีจะมาแรงขึ้นเรื่อยๆ และเป็นกันทั่วโลกด้วย จนแทบจะกลายเป็นจุดประสงค์หลักของภาษีไปแล้ว ผมไม่ขอแสดงความเห็นว่า การกระจายรายได้มากๆ เป็นเรื่องดีหรือไม่ดี แต่สมมติว่า เราต้องการใช้ภาษีเป็นเครื่องมือกระจายรายได้ที่ดีจริงๆ มีบางอย่างที่ผมเห็นว่าควรปรับปรุงเกี่ยวกับระบบภาษีเงินได้ของเราครับ อย่างแรกเลยคือ การกระจายรายได้โดยอาศัยอัตราภาษีเงินได้แบบก้าวหน้า กล่าวคือ อัตราภาษีเงินได้อยู่ที่ 0-37% ขึ้นอยู่กับรายได้สุทธิของแต่ละคน อันนี้ฟังดูแล้วก็เหมือนจะดี แต่ในทางปฏิบัติ วิธีนี้ทำให้เกิดการกระจายรายได้แค่เฉพาะจากคนชั้นกลางไปสู่คนจนเท่านั้น แทบไม่มีผลอะไรกับคนรวยเลย เพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น? ก็เพราะว่ารายได้ที่เอามาใช้คำนวณเพื่อคิดภาษีในส่วนนี้ส่วนใหญ่คือ รายได้ประเภทเงินเดือนประจำ และพวกค่าวิชาชีพต่างๆ คนที่มีรายได้ประเภทนี้เป็นหลักคือ คนชั้นกลาง เท่านั้น เพราะคนชั้นกลางคือพวกมนุษย์เงินเดือน (หรืออย่างมากก็พวกวิชาชีพ เช่น หมอ ทนายความ เป็นต้น) ส่วนคนที่รวยจริงๆ นั้น มักจะมีรายได้ส่วนใหญ่ในรูปของผลตอบแทนจากสินทรัพย์เป็นหลัก ได้แก่ เงินปันผลของบริษัท ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร เงินปันผลในหุ้น ค่าเช่า ฯลฯ (คนรวยต้องเป็นนายทุน) เงินได้ส่วนนี้มักหัก ณ ที่จ่ายได้ที่ 10-15% เท่านั้น หรืออย่างมากที่สุดก็เสียภาษีผ่านทางภาษีเงินได้นิติบุคคลที่อัตรา 30% ฉะนั้นคนรวยจริงๆ จะเสียภาษีเพียงแค่ราวๆ 10-15% ของรายได้รวมเท่านั้น พวกเขาอาจมีรายได้ในรูปของเงินเดือนอยู่บ้าง แต่ว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับรายได้ทั้งหมดของพวกเขา เท่ากับว่า ทุกวันนี้คนที่เสียภาษีหนักที่สุด ไม่ใช่คนรวย แต่เป็นคนชั้นกลางระดับบนที่เสียภาษีมากถึง 37% ของรายได้ คนที่รวยกว่านั้นกลับเสียภาษีแค่ประมาณ 10-15% ของรายได้รวมเท่านั้น คิดแล้วยังน้อยกว่าคนชั้นกลางระดับกลางที่ต้องเสียภาษี 20-30% ของเงินเดือนเสียอีก ดังนั้นใครอยากขึ้นภาษีเพื่อกระจายรายได้มากขึ้น อัตราภาษีที่ควรจะเพิ่มมากที่สุดน่าจะเป็นเงินได้พวกดอกเบี้ย เงินปันผล หรือค่าเช่า รวมทั้งเริ่มต้นภาษีที่ดิน และภาษีมรดก ซึ่งเป็นภาษีของคนรวยจริงๆ ที่ทุกวันนี้ไม่ต้องเสียภาษีเลยสักบาท ทำให้คนรวยเป็นกลุ่มคนที่เสียภาษีน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับรายได้ อัตราภาษีพวกนี้ไม่จำเป็นต้องขึ้นให้มากกว่าภาษีเงินได้อัตราก้าวหน้าขั้นสูงสุดของคนชั้นกลางก็ได้ (มีแนวคิดด้วยว่า คนรวยย้ายถิ่นฐานได้ง่าย ถ้าถูกเก็บภาษีมากเกินไปก็อาจพากันไปลงทุนที่อื่น) แต่ควรจะมากกว่าที่เป็นอยู่ แค่ขึ้นอัตราภาษีพวกนี้นิดเดียว รัฐบาลก็มีรายได้เพิ่มขึ้นมหาศาลแล้ว ส่วนภาษีเงินได้อัตราก้าวหน้าสูงสุดที่ 37% นั้น ผมกลับเห็นว่า ควรจะลดลงด้วยซ้ำ เพราะแม้คนชั้นกลางระดับบนจะมีฐานะค่อนข้างดี แต่พวกเขาก็ต้องเหนื่อยและเครียดกว่าคนทั่วไปมากกว่าจะหาเงินเหล่านี้มาได้ (ผู้บริหารระดับสูง หมอ ที่ปรึกษา) ไม่ใช่เงินที่เกิดจากการรอเก็บดอกผลของสินทรัพย์แบบพวกดอกเบี้ย หรือเงินที่ชาติกำเนิดบันดาลมาให้แบบมรดก จึงน่าจะให้รางวัลพวกเขามากกว่าที่จะลงโทษครับ ทุกวันนี้ คนไทยที่เสียภาษีเงินได้มีไม่ถึง 5% ของประชากรทั้งหมด ดังนั้นแม้อัตราภาษีเงินได้แบบก้าวหน้าของไทยจะไม่สูงนัก แต่ก็ถือว่าโหดมากแล้วในแง่ของการกระจายรายได้ บางคนบอกว่าทำไมไทยไม่เก็บภาษีเงินได้แบบโหดๆ แล้วเอามาทำสวัสดิการสังคมดีๆ แบบกลุ่มประเทศนอร์ดิกบ้าง แต่อย่าลืมว่า ในประเทศที่พัฒนาแล้ว คนส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลาง คนส่วนใหญ่จึงเป็นผู้เสียภาษี (สหรัฐ มีผู้เสียภาษีเกิน 50% ของประชากร) ถ้ารัฐบาลเก็บภาษีสูงๆ เพื่อมาทำสวัสดิการสังคม เงินส่วนใหญ่จะกลับมาที่คนกลุ่มเดิม แต่ถ้าเราทำอย่างเขาบ้างไม่รู้ว่าจะก่อให้เกิดผลกระทบอย่างไรต่อความรู้สึกไม่พอใจระหว่างชนชั้น ซึ่งทุกวันนี้ก็เป็นเรื่องที่อ่อนไหวมากอยู่แล้ว สำหรับสังคมไทยครับ บทความโดย : นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์ ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ 5 ตุลาคม 2554 |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |