บริษัท พัฒนกิจ บัญชี ภาษีและฝึกอบรม จำกัด
Pattanakit Accounting Tax & Training Co., Ltd.
59/275 ซอยสุวินทวงศ์ 44 ถนนสุวินทวงศ์ แขวงลำผักชี เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร 10530
โทรศัพท์ 0-2019-4656 , 0-2023-7182 , 084-1568284, 092-4634120, 098-2529544, Fax 0-2019-4659
Website :https://www.pattanakit.net / Email : pat@pattanakit.net
การล่มสลายของเลแมน บราเดอร์สและเอไอจี
การล่มสลายของเลแมน บราเดอร์สและเอไอจี
การล้มละลายของวาณิชธนกิจชั้นนำของสหรัฐ เลแมน บราเดอร์ส พร้อมกับการเข้ายึดกิจการ ของ อเมริกันอินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป (เอไอจี) โดยรัฐบาลสหรัฐ และความเสี่ยงที่บริษัทเงินทุนวอชิงตันมิวชวล อาจจะถูกปิดตัวลง ล้วนแต่เป็นการสะท้อนว่า ปัญหาสถาบันการเงินของสหรัฐนั้น มีความรุนแรง และแผ่ขยายไปอย่างกว้างขวาง เกินความคาดหมาย ของทางการสหรัฐ เป็นอย่างมาก ทำให้เชื่อได้ว่าจะยังมีปัญหาในอนาคตอีกมากไปจนถึงกลางปีหน้า และจะเป็นภาระที่ท้าทาย ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่อย่างมาก แต่สำหรับประเทศไทยนั้น ผลกระทบโดยตรงจะไม่มีมากนัก เพราะมีสถาบันการเงิน ที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับสถาบันการเงินสหรัฐน้อยมาก อาทิเช่น กรณีเลแมนนั้น มีธุรกรรม ร่วมกับสถาบันการเงินไทยเพียง 4,000 ล้านบาท และแม้จะมีการลงทุน และปล่อยกู้ภาคอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย อีก 50,000 ล้านบาท แต่ก็เป็นสินทรัพย์ที่น่าจะหาผู้ซื้อมาทดแทนได้โดยง่าย
ในส่วนของเอไอจีสหรัฐกับบริษัทประกันภัยเอไอเอในประเทศไทย ก็เป็นนิติบุคคลที่แยกออกจากกันอย่างชัดเจน โดยเอไอจีถือหุ้นเอไอเอส่วนหนึ่ง จึงมีส่วนเพียงการได้รับเงินปันผลจากเอไอเอ และในส่วนของธุรกิจการประกันภัยในประเทศไทย ก็เป็นธุรกิจที่มั่นคงและมีเงินทุนเกินกว่าเกณฑ์ของทางการอยู่มาก ในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางสหรัฐก็ได้ยอมปล่อยกู้ ให้กับเอไอจีแล้ว 85,000 ล้านดอลลาร์ เป็นเวลา 2 ปี และรัฐบาลได้เข้าไปควบคุมกิจการเอไอจี เพื่อขายสินทรัพย์อย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อชดใช้หนี้สินและความเสียหาย จึงจะทำให้ธุรกิจหลัก คือ การประกันภัยไม่ได้รับผลกระทบกระเทือนแต่อย่างใด แต่ประเทศไทยย่อมจะได้รับผลกระทบในทางอ้อมใน 2 ด้าน คือ การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจสหรัฐ ที่กำลังลามมาที่เศรษฐกิจยุโรป เศรษฐกิจญี่ปุ่นและเศรษฐกิจเอเชียโดยรวม โดย เมอร์ริล ลินช์ เชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะหดตัว ประมาณ 2% ในไตรมาส 4 ของปีนี้ และไตรมาส 1 ของปีหน้า ในขณะที่เศรษฐกิจยุโรปและญี่ปุ่นอาจขยายตัวเพียง 1.0-1.5% ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า สำหรับเอเชียนั้นเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ในระดับ 7-8% โดยมีจีนเป็นแกนนำ แต่เศรษฐกิจจีนเอง ก็เสี่ยงที่อาจจะขยายตัวต่ำกว่าที่คาดเอาไว้เดิมที่ 9-10% (โดยอาจขยายตัว 8-9%) ทำให้ธนาคารกลางของจีน รีบลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงไป 0.27% ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนมิได้คาดการณ์มาก่อน การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก ย่อมจะส่งผลต่อการขยายตัวของการส่งออกของไทยตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ การส่งออกของไทยน่าจะขยายตัวสูงถึง 23% (เมื่อคำนวณเป็นเงินดอลลาร์) แต่ในปีหน้า คงจะขยายตัวได้เพียง 10-15% ผลกระทบทางอ้อมอีกด้านหนึ่ง คือ การปรับลดลงของสภาพคล่องทางการเงินของโลก ทั้งนี้ เพราะในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย และเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินต่างๆ พัฒนาตราสารทางการเงินประเภทต่างๆ ออกมาเป็นจำนวนมาก โดยมิได้ควบคุมความเสี่ยง เพราะเชื่อว่าสถาบันการเงิน และนักลงทุนสามารถดูแล และกระจายความเสี่ยงกันเองได้ การเกิดฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐ และหลายประเทศในยุโรปและภูมิภาคอื่นๆ (อาทิเช่น อังกฤษ สเปน อิตาลี ไอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลียและแอฟริกาใต้) เป็นพื้นฐานให้สถาบันการเงินออกตราสารและอนุพันธ์ประเภทต่างๆ มามากมาย คิดเป็นมูลค่าหลายสิบล้านล้านดอลลาร์ แต่เมื่อราคาอสังหาริมทรัพย์เริ่มปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง (ราคาบ้านในสหรัฐลดลง 15%) ก็ทำให้ตราสารและอนุพันธ์ต่างๆ ที่อาศัยอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันและประเมินว่าเป็นตราสารและอนุพันธ์ที่มีคุณภาพสูงระดับเอ 3 ตัว หรือเทียบเท่ากับตราสารหนี้ของรัฐบาลสหรัฐกลายเป็นตราสารและอนุพันธ์ด้อยคุณภาพ ที่ไม่สามารถประเมินค่าได้ เนื่องจากไม่มีผู้ต้องการซื้อ ดังนั้น สถาบันการเงินต่างๆ ที่ลงทุนในตราสารและอนุพันธ์ดังกล่าวเป็นจำนวนมาก อาทิเช่น เลแมนและเอไอจี จึงมีปัญหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ทำให้สถาบันการเงินอื่นๆ ไม่กล้าทำธุรกรรมร่วมหรือปล่อยกู้ให้ จนประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง ทุนไม่พอจนบางบริษัทต้องเข้าสู่สภาวะล้มละลาย หรือบางบริษัทก็ต้องหาผู้มาซื้อกิจการ อาทิเช่น เมอร์ริล ลินช์ ซึ่งเป็นวาณิชธนกิจชั้นนำเช่นเดียวกับเลแมน ซึ่งไหวตัวทัน รีบเจรจากับแบงก์ออฟอเมริกา ให้เข้าควบรวมกิจการของเมอร์ริล ลินช์ ทั้งหมดเมื่อวันที่ 15 กันยายน ซึ่งปัญหาการลดลงของสภาพคล่องดังกล่าว ทำให้ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ต้องร่วมกันอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบการเงินโลกเกือบ 3 แสนล้านดอลลาร์ ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ปัญหาสถาบันการเงินของสหรัฐนั้นจะยังปะทุขึ้นมาอีกในอนาคต และจะเป็นภาระอย่างใหญ่หลวง กับธนาคารกลางสหรัฐและรัฐบาลสหรัฐ ปัญหาที่ใหญ่ที่สุด คือ การจะต้องเข้าไปเพิ่มทุนให้กับแฟนนี เม และเฟรดดี แมค สถาบันปล่อยกู้อสังหาริมทรัพย์ที่รัฐบาลสนับสนุนให้ปล่อยกู้และค้ำประกันเงินกู้ภาคอสังหาริมทรัพย์มากถึง 5.2 ล้านล้านดอลลาร์ เพราะเมื่อราคาบ้านในสหรัฐปรับลดลง 15% (และอาจปรับลดลงอีก 10%) ก็เชื่อได้ว่าแฟนนี และเฟรดดี จะต้องได้รับความเสียหายจากปัญหาหนี้เสียอีกมาก สมมติว่าทรัพย์สินของสถาบันการเงินทั้งสอง เสียหาย 5% ก็หมายความว่ารัฐบาลจะต้องเพิ่มทุนเพื่อชดใช้ความเสียหายกว่า 250,000 ล้านดอลลาร์ เพราะทุนของแฟนนีกับเฟรดดีนั้น ขณะนี้ อาจลดลงเหลือไม่ถึง 10,000 ล้านดอลลาร์ สรุปได้ว่าปัญหาหลักของสถาบันการเงินที่เผชิญกับวิกฤติทางการเงิน ทำให้ต้องล้มละลาย เป็นเพราะสถาบันการเงินดังกล่าว ดำเนินธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง โดยลงทุนอย่างขาดความระมัดระวังและกู้เงินมาลงทุนเป็นจำนวนมาก โดยมีทุนของตนอยู่เพียงเล็กน้อย เพราะมั่นใจเกินไป และอยากได้กำไรสูง จะเห็นได้ว่าบริษัทแบร์สเติร์นส์ เลแมน เอไอจี และเมอร์ริล ลินช์นั้น ล้วนแต่มีสินทรัพย์ต่อทุนประมาณ 20-30 เท่า หรือลงทุน 1 บาท และกู้เงินมา 29 บาท เพื่อใช้ในการลงทุน ทำให้เมื่อมีปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพ ทุนก็จะหมดลงได้อย่างรวดเร็ว และเกิดปัญหาสภาพคล่องได้โดยง่าย ยังมีสถาบันการเงินของสหรัฐ ที่มีลักษณะเช่นนี้อยู่อีก จึงไม่ควรแปลกใจหากมีสถาบันการเงินของสหรัฐล้มละลายอีกหลายแห่ง ใน 6-12 เดือนข้างหน้า บทความโดย : ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551 |
ร่วมบริจาค ช่วยเหลือ ผู้ประสบอุทกภัยน้ำท่วม อ่านข่าวเด่น...ของวันนี้ ครม.คลอดแพ็กเกจภาษีชุดใหญ่ สรรพากรลดภาษีคนดีฉลอง 80 พรรษา มนุษย์เงินเดือนอดลดหย่อนภาษีเพิ่ม กรมสรรพากร เร่งตรวจสอบและเอาผิดกับผู้ทุจริตหลีกเลี่ยงภาษีอากร หรือขอคืนภาษีเป็นเท็จ ความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพ์ ที่ทุกคนควรทราบ วิกฤตการณ์เงินบาทแข็ง 10 ปีวิกฤติเศรษฐกิจ ตอนเศรษฐกิจไทย จะเกิดวิกฤติรอบ 2 หรือไม่ สรรพากรไล่บี้ภาษีคณะบุคคล ชมรมหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล เปิดตัวแล้ว ผงะ! รายได้รัฐปีนี้เหือดแห้ง ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ |